วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560

Couscous

“คูสคูส (Couscous)” คืออะไรกันนะ ?

Couscous (คูสคูส) เป็นอาหารที่เราทานมาเป็นเดือนๆติดกันทุกวันแล้ว เพราะชอบในความ “สะดวก” ของมัน ไม่ว่าจะแค่เทน้ำร้อนลงไปรอไม่เกิน 3 นาทีก็พร้อมกินเร็วยิ่งกว่ามาม่า หรือจะเอาไปผัดมันก็สุกไว ใส่หมูใส่ไก่ก็พร้อมกินใน 5 นาที หรือจะเอาไปกินคู่กับสลัดเพื่อเพิ่มคาร์โบไฮเดรตให้อิ่มท้องบ้างแทนที่จะกินแต่ผักอย่างเดียวก็เวิร์คมากๆ ว่าแต่คูสคูสนี่มันคืออะไรกันล่ะ ?

คูสคูส เรารู้จักครั้งแรกว่าเป็น Moroccan rice ค่ะ ชาวโมร็อคโคเขากินกัน แต่เมื่อหาข้อมูลดูพบว่ามันเป็นสิ่งที่คนในแถบแอฟริกันเหนือ เช่น โมร็อคโค แอลจีเรีย ตูนิเซีย ลิเบีย มอริเทเนีย และซาฮาร่าตะวันตก เขาทานกัน สาเหตุที่รู้จักได้เพราะว่าเพื่อนบริทิช-สเปนย้ายหอเขาก็เลยโอนของกินมาให้ ไม่ถามด้วยว่าเรากินเป็นมั้ย 5555 ได้มานี่งง หุงยังไงหว่า – -‘


ที่กินอยู่ซื้อจาก Tesco หน้าตาแบบนี้

แม้ว่าหน้าตามันจะเหมือนข้าวเม็ดเล็กๆแต่ว่ามันไม่ใช่ข้าวค่ะ ไม่ใช่ตระกูล grain อะไรใดๆ แต่กลับอยู่ในตระกูล pasta คือเป็นแป้ง คูสคูสเป็นข้าวสาลีที่บดจนเป็นเม็ดเล็กๆ เมื่อเราเอาไปทำอาหารเช่น ใส่น้ำร้อน อบ ผัด เจ้าเม็ดนี่ก็จะฟูขึ้นมาเป็นเหมือนข้าวนิ่มๆ สามารถกินกับอะไรก็ได้ที่คิดว่ามันเข้ากัน เช่น แกง สลัด ผัดกับเนื้อสัตว์ สำหรับเราคือผัดกินแทนข้าวเลยค่ะ เอาไปผัดกับเนย ผงกระเทียม โรยเกลือนิดนึงนี่หอมมากกกกก เวลาปรุงสไตล์เรานี่คือ เอาเนยลงกระทะ เทคูสคูสลงไป ผัดแป๊บนึงแล้วใส่น้ำให้พอปริ่มๆ อย่าเยอะมากเพราะมันจะแฉะ แล้วก็โรยเครื่องปรุง ใส่ผัก ใส่เนื้อ ตามอัธยาศัย มันสุกเร็วมากๆด้วยเหมาะกับคนทำอาหารไม่เก่ง 5555

นอกจากความง่ายในการปรุงแล้ว มันอิ่มนานด้วยค่ะ สงสัยไปฟูต่อในท้อง 5555 อารมณ์เหมือนกินข้าวโอ๊ตน่ะ แต่ข้าวโอ๊ตบางคนก็ไม่ชอบเพราะมันแฉะๆเลี่ยนๆ แต่ถ้าพูดถึงสารอาหาร เจ้าคูสคูสนี่ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ เทียบได้กับเส้นพาสต้าทั่วไป แต่มันดีตรงแคลอรีต่ำ ถ้าเทียบกับข้าวปกติ คูสคูส 1 ถ้วย = 176 kcal ในขณะที่ข้าวปกติปาเข้าไป 200 กว่าแล้ว ละคูสคูส 1 cup เนี่ย กินอิ่มไปสามมื้อเลย เพราะอย่างที่บอกว่ามันฟูค่ะ

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2560

10 ดอยสูงในประเทศไทย ฟิตร่างกายให้พร้อมแล้วไปพิชิตกัน


1. ดอยอินทนนท์ ความสูงระดับ 2,565 เมตร
            ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัยอีกด้วย พื้นที่ส่วนใหญ่ของดอยอินทนนท์ ประกอบไปด้วยสภาพพื้นป่าที่หลากหลาย ทั้งป่าดงดิบ ป่าสน ป่าเบญจพรรณ และมีสภาพอากาศที่หนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าหนาว ดอยอินทนนท์จะได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นพิเศษ เพราะจะมีหมอกเข้าปกคลุม น้ำค้างกลายเป็นแม่คะนิ้งสวยงาม เหล่านี้เป็นเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างอยากที่จะมาพิชิตยอดดอยอินทนนท์กันไม่ขาดสาย

2. ดอยฟ้าห่มปก ความสูงระดับ 2,285 เมตร
            ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก จังหวัดเชียงใหม่ เป็นยอดดอยที่มีความสูงเป็นอันดับสองของประเทศ ความงดงามบนยอดดอยที่นี่ นับว่ามีวิวทิวทัศน์ที่งดงามอย่างยากจะบรรยาย ยิ่งช่วงหน้าหนาว ความสวยงามยิ่งมีมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า มีจุดสำหรับชมทะเลหมอกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่ง รวมถึงการได้ชื่นชมและทัศนาเหล่าสรรพสัตว์น้อยใหญ่หายากทั้งหลาย เช่น ผีเสื้อมรกตผ้าห่มปก ผีเสื้อหางติ่งแววเลือน นกปรอดหัวโขนก้นเหลือง เป็นต้น และต้องไม่ลืมที่จะชื่นชมความงดงามของพระอาทิตย์ขึ้นและตกดินบนดอยผ้าห่มปกด้วยนะคะ


3. ดอยหลวงเชียงดาว ความสูงระดับ 2,175 เมตร
ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งยอดดอยสุดฮิต ที่นักท่องเที่ยวหลายคนอยากที่จะพิชิตให้ได้ อากาศบนยอดดอยหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี และเมื่อยืนอยู่บนยอดดอยจะเห็นวิวธรรมชาติโดยรอบ 360 องศา มองลงไปเบื้องล่างเห็นภูเขาสลับซับซ้อน ทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตา เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการชมวิว เพราะแทบไม่มีอะไรมาบดบังสายตา อีกทั้งบริเวณยอดดอยยังมีเส้นทางให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมพรรณไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ดอกกุหลาบขาวจะบานชูช่อสวยงาม ดูแล้วเพลินตา สบายอารมณ์เป็นที่สุด

4. ยอดเขาโมโกจู ความสูงระดับ 1,964 เมตร
ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ มีพื้นที่ครอบคลุมจังหวัดนครสวรรค์และกำแพงเพชร นักท่องเที่ยวที่ต้องการพิชิตยอดเขาโมโกจู จำเป็นที่จะต้องติดต่อจองช่วงเวลากับเจ้าหน้าที่ก่อนให้เรียบร้อย ขณะเดียวกันก็ต้องปฏิบัติตามกฎและระเบียบต่าง ๆ โดยเคร่งครัด ที่สำคัญต้องฟิตร่างกายมาให้พร้อม เพราะทางเดินขึ้นเขาที่นี่ มีความลาดชันไม่ต่ำกว่า 60 องศา และใช้เวลาเดินทางไป-กลับหลายวัน ต้องนอนค้างในป่าตามจุดที่กำหนด แต่ถ้าได้ลองขึ้นไปเห็นวิวข้างบนแล้ว รับรองว่าหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ดังนั้นใครที่เตรียมตัวจะมาพิชิตยอดเขาโมโกจู ควรต้องศึกษาสภาพเส้นทางและอากาศไว้ให้เรียบร้อยจะดีที่สุด

5. ดอยภูแว ความสูงระดับ 1,837 เมตร
ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา จังหวัดน่าน บนยอดดอยมีลักษณะเป็นทุ่งหญ้า ไม่มีต้นไม้ใหญ่ มียอดเขาหลายลูกเรียงตัวกันเป็นสันเขาทอดตัวยาว และเป็นเทือกเขาเดียวกับภูเขาอัลไต มีลานหิน หน้าผา และพันธุ์ไม้ที่สำคัญ เช่น ดอกกุหลาบพันปี ค้อ ทุ่งดอกไม้ ผาแอ่น ผาผึ้ง เป็นสถานที่ชมวิวทิวทัศน์ และทะเลหมอกอันสวยงาม ไฮไลท์สำคัญอยู่ในช่วงบ่ายแก่ ๆ ทุ่งหญ้าสีเขียวสดยามโดนแดดส่อง จะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีทองตามแสงแดด เป็นภาพความสวยงามที่คุณจะไม่มีวันลืม


6. ยอดเขาหลวง ความสูงระดับ 1,835 เมตร
ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช ยอดเขาหลวงแห่งนี้เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธารและคลองต่าง ๆ มากมาย สภาพภูมิประเทศโดยรอบเป็นป่าดงดิบชื้นและป่าดิบเขา มีเส้นทางธรรมชาติที่สวยงาม และมีความหลากหลายทางธรรมชาติค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งป่าเฟิร์นโบราณและกล้วยไม้หายาก อีกทั้งยังเป็นดินแดนสวรรค์ของกล้วยไม้เมืองไทยที่หายาก และควรค่าแก่การอนุรักษ์


7. ดอยเวียงผา ความสูงระดับ 1,834 เมตร
ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีลักษณะเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวในช่วงหน้าหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกกุหลาบพันปี และ ดอกกุหลาบขาว จะออกดอกบานสะพรั่ง รวมถึงยังจะได้เห็นทะเลหมอกบนสันเขา ที่ทอดยาวอย่างสวยงาม เหล่านี้ล้วนเป็นทัศนียภาพที่สวยงามและน่าประทับใจไปทั่วทั้งยอดดอย นอกจากนี้ยังมี "น้ำตกห้วยทรายขาว" น้ำตกสวย 3 ชั้น ขนาดเล็กที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินเท้าเข้าไปชมได้ไม่ยาก

8. ภูแผงม้า ความสูงระดับ 1,775 เมตร
ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จังหวัดพิษณุโลก บนภูแผงม้า ถือเป็นจุดชมวิวที่นักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมกับความสวยงามของพระอาทิตย์ขึ้นและตกดิน และมีเฉลียงใหญ่ไว้รองรับนักท่องเที่ยวเพื่อชมวิว และทิวเขาสลับซับซ้อน มองออกไปเบื้องหน้าเห็นหมู่บ้านน้ำเพียงดิน มองเห็นอำเภอหล่มสัก ที่สำคัญมองเห็นเส้นทางถนนคดเคี้ยวระหว่างทางขึ้นมายังภูหินร่องกล้า นับเป็นอีกหนึ่งจุดชมความงามบนเทือกเขาสูงที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย ใครลองได้ไปแล้วไม่มีผิดหวัง

9. ดอยมด ความสูงระดับ 1,700 เมตร
ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติขุนแจ จังหวัดเชียงราย สถานที่ท่องเที่ยวที่ห้อมล้อมไปด้วยบรรยากาศธรรมชาติที่สวยงามเขียวขจี บนยอดดอยมีลักษณะโล่งเตียน ไม่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม เพราะเป็นช่องลมที่มีลมพัดผ่านตลอดเวลา ทำให้ต้นไม้ใหญ่ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ จะมีเพียงต้นไม้พุ่มแคระแกรนขึ้นอยู่บนยอดดอยเท่านั้น สำหรับดอยมดนั้นเป็นต้นน้ำของแม่น้ำลาง ลำน้ำแม่เจดีย์ ลำน้ำแม่วง และลำน้ำแม่ขอด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสายน้ำที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตของชาวบ้านในการเพราะปลูกอีกด้วย


10. ภูสอยดาว ความสูงระดับ 1,633 เมตร
ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว จังหวัดอุตรดิตถ์ นับเป็นผืนป่าธรรมชาติที่มีความสมบูรณ์สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง จุดเด่นล่อตาล่อให้นักท่องเที่ยวทุกคนอยากที่จะไปพิชิตยอดภูสอยดาวสักครั้ง นั่นคือการได้ชมทุ่งดอกไม้สีม่วงหรือดอกหงอนนาค และดอกไม้ป่าสวย ๆ มากมายหลากหลายชนิด ที่ออกดอกชูช่อบานสลับสีสันอยู่ทั่วลานสน ยิ่งถ้าได้ไปในช่วงหน้าฝนจะยิ่งประทับใจมากเป็นสองเท่า ตลอดจนเส้นทางเดินระหว่างขึ้นภูสอยดาว นักท่องเที่ยวจะได้พบเจอกับธรรมชาติสองข้างทางที่งดงามจับใจ ที่จะช่วยคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไม่มากก็น้อย




แคว้นต่างๆ ของประเทศฝรั่งเศส

แต่เดิมประเทศฝรั่งเศสมีชนดั้งเดิมมายึดครองอยู่คือชาว "Gaulois"พวกเขาได้เรียกประเทศฝรั่งเศสว่า LE GAULE

1.ILe-de-France ที่ตั้งอยู่ที่ Bassin Parisien อาหารประจำแคว้นได้แก่ เนย,สถานที่สำคัญของแคว้นได้แก่ Versailles ราชวังของพระเจ้าLouisXIV ปารีสเป็นเมืองหลวงของฝรั่งเศส

2.Centre อยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Pays de Loire เป็นเมืองหลวงประจำแคว้นผลผลิตที่สำคัญ ได้แก่ พืช,ผักสวนครัว,องุ่น,ข้าวโพด

3.Pays de Loire แคว้นนี้มีชายแดนทางตะวันตกติดกับแคว้น Bretagne ทิศตะวันออกติดกับแคว้น Centre ทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดกับที่ราบสูง มีเมืองหลวงชื่อว่า Nantes ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,ข้าวโพด,ไร่องุ่น ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญคือเหล้าองุ่นขาว แคว้นนี้มีปราสาทสวยงามมากมายที่สุดในฝรั่งเศส

4.Bretagne เป็นแคว้นที่มีลักษณะเป็นแหลมยื่นไปในมหาสมุทรแอตแลนติค เป็นแคว้นเดียวในฝรั่งเศสที่ไม่มีการผลิตเหล้าองุ่น เนื่องจากสภาพอากาศไม่เหมาะสมที่จะปลูกองุ่น แต่มีการประมงเป็นหลักเพราะติดทะเล เมืองหลวงของแคว้นมีชื่อว่า Rennes ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ พืชไร่ที่เราเรียกว่า le cidre ขนมที่ขึ้นชื่อคือ Crepes เมืองท่าที่สำคัญมีชื่อว่า Brest ส่วน Saint-Malo เป็นเมืองเก่าแก่ของแคว้น

5.La Basse-Normandieเป็นแคว้นที่มีชายฝั่งทะเลตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติค ชายฝั่งทางเหนือติดกับอ่าว Manche ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดกับแคว้น Bretagne และทางทิศตะวันออกติดกับแคว้น Haute-Normandie เมืองหลวงประจำแคว้นชื่อ Caen ผลผลิตที่สำคัญคือ ข้าวสาลี,นม,การประมง สถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อ Le Mont-Saint-Michel เป็นโบสถ์โบราณเก่าแก่สถาปัตแบบโรมัน สร้างอยู่บนโขดหินใกล้ทะเล

6.La Haute-Normandie มีเขตติดต่อกับแคว้น Basse-Normandie มีการผลิตเนยชั้นนำคุณภาพ และนำแอปเปิ้ลที่มีคุณภาพรสชาติอร่อย เมืองหลวงประจำแคว้นชื่อ Rouen

7.Picardie เป็นแคว้นที่ค่อนไปทางเหนือของฝรั่งเศส มีเมือง Amiens เป็นเมืองหลวง ผลผลิตสำคัญคือ ข้าวสาลี,การเลี้ยงสัตว์,การปลูกหัวผักกาดหวาน

8.Nord-Pas de Calais แคว้นนี้ตั้งอยู่เหนือสุดของประเทศฝรั่งเศส มีเมือง Lille เป็นเมืองหลวงประจำแคว้น เมืองนี้เป็นเมืองแรกที่มีรถไฟใต้ดินวิ่งป็นเมืองแรกในฝรั่งเศส แคว้นนี้ผลิตเบียร์อย่างมีคุณภาพ เนื่องจากภูมิประเทศเหมาะกับการปลูกข้าวสาลีและข้าวบาร์เล่ย์

9.Le Champagne แคว้นนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Picardie เมืองหลวงประจำแคว้นชื่อ Chalons-sur-Marne ผลผลิตสำคัญได้แก่ องุ่น,ข้าวสาลี,การเลี้ยงสัตว์ สถานที่สำคัญประจำแคว้นนี้คือ" โบสถ์เมือง Reims "ที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมGothique

10.Lorraine ที่ตั้งของแคว้นนี้อยู่ทางชายแดนประเทศเบลเยี่ยม,ประเทศลักเซมเบอร์กและประเทศเยอรมัน เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Nancy ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ องุ่น,ข้าวสาลีและการเลี้ยงสัตว์

11.Alsace เป็นแคว้นที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Lorraine มีเมืองหลวงชื่อ Strasbourg ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ ข้างสาลี,องุ่น,ข้าวโพด,ยาสูบ เครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงประจำแคว้นได้แก่ เหล้าองุ่นขาวคุฌภาพเยี่ยม


12.Franche-Comte แคว้นนี้ตั้งอยู่ระหว่างแคว้น Bourgogne และประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมืองหลวงชื่อว่า Besacon ผลผลิตสำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,ขนมปัง,เครื่องเทศ นาฬิกาชั้นนำมักจะผลิตที่นี้เป็นสินค้าส่งออก อาหารดังประจำแคว้นเนื่องจากว่าแคว้นนี้ผลิตเบียร์ได้มากจึงมีเบียร์คุณภาพ,เนยคุณภาพดี

13.La Bourgogne ตั้งอยู่ทางใต้ของแคว้น Champagne, อยู่ทางตะวันออกของ Pays de Loire ทางทิศตะวันตกของ Franche-Comte และทิศเหนือของแคว้น Rhone-Alpes เมืองหลวงชื่อ Dijon ผลผลิตสำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,นม,เหล้าองุ่น อาหารดังประจำแคว้นมีชื่อว่า ไก่อบเหล้า,หอยทากอบ เหล้าองุ่นและเหล้าชนิดอื่นก็มีชื่อเสียงเช่นเดียวกันสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญคือ พระราชวังของดยุ๊ก

14.Rhone-Alpes ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแคว้น Bourgogne และ Franche-comte เมืองหลวงมีชื่อว่า Lyon ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ องุ่น,การเลี้ยงสัตว์,ข้าวสาลี,ข้าวโพด

15.L'Auvergne เป็นแคว้นที่มีภูเขาไฟ ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของแคว้น Limousin ทางทิศใต้ของแคว้น Bourgogne เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Clermont-Ferrand ผลผลิตสำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,ข้าวโพด,ข้าวบาร์เลย์ และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ โบสถ์ Notre-Dame

16.Limousin เป็นแคว้นที่มีการเลี้ยงแกะ ทางทิศตะวันตกของแคว้นเป็นที่ราบสูงกว้างใหญ่ ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา เมืองหลวงชื่อ Limoges ผลผลิตสำคัญประจำแคว้นได้แก่ การเลี้ยงสัตว์ประเภทวัว แพะ แกะ สินค้าประจำแคว้นได้แก่ เครื่องปั้นดินเผา,เครื่องเคลือบลายคราม

17.Poitou-Charentes แคว้นนี้อยู่ทางทิศตะวันตกของแคว้น Limousin อยู่ทางทิศใต้ของแคว้น Centre เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Poitiers สินค้าประจำแคว้นได้แก่ ข้าวสาลี,ข้าวโพด,การเลี้ยงสัตว์,องุ่น,เหล้า

18.Aquitaine เป็นแคว้นที่ตั้งอยู่มีชายฝั่งออกติดกับแนวมหาสมุทรแอตแลนติค เมืองหลวงชื่อ Bordeaux สินค้าของแคว้นคือ องุ่น,ยาสูบ,ข้าวสาลี,ข้าวโพด,การเลี้ยงสัตว์ และผลิตเหล้าคุณภาพดีมีลูกพรุนรสชาติดีนิยมกันมาก

19.Midi-Pyrenees ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Aquitain และอยู่ทางตอนใต้ของแคว้น Auverne เมืองหลวงชื่อ Toulouse ซึ่งแคว้นนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกว่าเป็นเมืองที่มีการผลิตเครื่องบิน ผลผลิตที่สำคัญของแคว้นได้แก่ เนย,เนยแข็ง

20.Lanquedoc-Roussillon เป็นแคว้นที่มีชายแดนติดต่อกับแคว้น Provence ทางตอนใต้ติดกับทะเลสาป เมืองหลวงชื่อ Montpellier ผลผลิตสำคัญประจำแคว้นคือ องุ่น,เหล้าไวน์ ,พืชผักสวนครัว,เหล้า สถานที่สำคัญได้แก่ Site เป็นเมืองท่าสำคัญ,เมือง Agen เป็นเมืองตากอากาศ

21.Provence-Cote d'Azur ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและชายแดนติดกัยอิตาลี เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Marseille ผลผลิตที่สำคัญคือการปลูกดอก lavande ,การปลูกไร่องุ่น,การเพาะปลูกพืชผักสวนครัว

22.Corse แคว้นนี้ลักษณะเป็นเกาะอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของเมืองนีช เมืองหลวงชื่อ Ajaccio ผลผลิตสำคัญได้แก่ ลูกเกาลัด,องุ่น,ผลไม้,ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกร,เนยแข็งจากนมแกะ,เหล้าองุ่นแดงและชมพู ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งเด่นของแคว้นCorse

เอธิโอเปีย...ถิ่นกำเนิดของกาแฟ

         เอธิโอเปีย...ตั้งอยู่ทางทิศตะวันอกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา มีความงดงามทางธรรมชาติและภูมิประเทศอันหลากหลายอยู่ในบริเวณหุบเขาทรุดแห่งแอฟริกาตะวันออก (The Great Rift Valley) ซึ่งเป็นกระบวนการหักทรุดของแผ่นเปลือกโลกที่เกิดขึ้นมานานกว่า 25 ล้านปี เอธิโอเปียมีอารยธรรมเก่าแก่และประวัติความเป็นมาอันยาวนานกว่า 3,000 ปี ดินแดนที่เป็นประเทศเอธิโอเปียและบริเวณใกล้เคียงถือเป็น “แหล่งกำเนิดของมวลมนุษยชาติ (Cradle of Humankind)” อันเนื่องมาจากการค้นพบซากฟอสซิลและเครื่องมือเครื่องใช้ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตลอดจนโครงกระดูกเชื้อสายเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีอายุมากกว่า 3 ล้านปี ชาวเอธิโอเปียมีความภาคภูมิใจในชาติของตนที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมหรือเมืองขึ้นของต่างชาติใดๆ นอกจากนี้ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรมประเพณีของเอธิโอเปียยังมีความเป็นเอกลักษณ์อย่างโดดเด่น แม้จะมีความหลากหลายของชนเผ่ากลุ่มต่างๆ ที่มีอยู่ราว 85 ชนเผ่าก็ตาม

             เมืองหลวงของเอธิโอเปียคือ แอดดีส อบาบา ซึ่งดิฉันได้เคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องราวของเอธิโอเปียและสถานที่ที่สำคัญๆ ในกรุงแอดดิส อบาบา ในหนังสือวิทยุสราญรมย์ ฉบับที่ 27 เดื่อนเมษายน – มิถุนายน พ.ศ. 2548

             ที่น่าสนในคือ เอธิโอเปียเป็นถิ่นกำเนิดของกาแฟที่ถูกนำไปเป็นเครื่องดื่มอันขึ้นชื่อของโลก ในหนังสือวิทยุสราญรมย์ฉบับนี้ดิฉันขอนำเรื่องของกาแฟ พร้อมด้วยเรื่องของอาหารพื้นเมืองอันโอชะของเอธิโอเปียมาเล่าสู่กันฟัง

             กาแฟ.....เป็นคำเรียกในภาษาไทย ส่วนคำในภาษาอังกฤษคือ คอฟฟี่ (coffee) นั้น เชื่อกันว่าออกเสียงมาจากคำว่า คัฟฟา (Kaffa) อันเป็นชื่อเขตบนที่ราบสูงทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเอธิโอเปียที่ได้มีการค้นพบต้นกาแฟเป็นครั้งแรก และต่อมาเมื่อกาแฟถูกนำจากเอธิโอเปียออกไปยังประเทศเยเมนในคาบสมุทรอาระเบียได้มีการเรียกเป็นภาษาอาหรับว่า คาห์เวห์ (qahweh) และยังมีการเรียกกาแฟกันอีกหลายชื่อ เช่น คาเฟ่ (café) คอฟเย (kofye) คาฮาวา (kahawa) คาฟ (kave) เป็นต้น ล้วนแล้วแต่มาจากคำว่า คัฟฟา (kaffa) นั่นเอง ส่วนชาวเอธิโอเปีย เรียกกาแฟว่า บูนา (buna) สำหรับโลกตะวันตกแล้วเพิ่งรู้จักกาแฟกันเมื่อประมาณ 300 กว่าปีมานี้เอง

             มีหลายตำนานที่ได้กล่าวไว้แตกต่างกันในเรื่องการค้นพบต้นกาแฟในเอธิโอเปีย รวมถึงปีการค้นพบและการแพร่หลายของกาแฟ แต่ที่กล่าวถึงมากที่สุดคือ เรื่องของ “แพะเต้นระบำ (The Dancing Goats)” ซึ่งเป็นการค้นพบต้นกาแฟโดยชายหนุ่มเลี้ยงแพะชื่อ คาลดี (Kaldi) เมื่อราว 800 ปีก่อนคริสตกาล โดยเขามีความประหลาดใจว่า แพะของตนซึ่งเคยขี้เกียจและชอบนอนตลอดเวลานั้น กลับมีความลิงโลด กระโดดเต้นไปมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอีกทั้งไม่ยอมนอนด้วย เขาสังเกตเห็นว่าแพะของเขาเหล่านั้นมีอาการเช่นนี้ทุกครั้งหลังจากที่ได้กินผลของต้นพืชชนิดหนึ่งเข้าไป เขาจึงได้ลองทานดู และรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที ตำนานได้กล่าวต่อไปว่า พระนักบวชจากโบสถ์บริเวณใกล้เคยงได้ไปพบเห็นคาลดีชายหนุ่มเลี้ยงแพะผู้นั้นกำลังมีอาการที่มีความสุขและกระชุ่มกระชวย พระนักบวชผู้นั้นจึงได้ลองเคี้ยวลูกเล็กๆ ของต้นพืชดังกล่าว และพบว่าในตอนกลางคืนระหว่างสวดมนต์นั้น ไม่รู้สึกง่วงนอน แต่กลับถูกกระตุ้นให้รู้สึกตื่นและมีความกระชุ่มกระชวยมากกว่าเวลาปกติ หลังจากนั้นท่านจึงได้นำผลของต้นพืชชนิดนี้ไปให้พระนักบวชอื่นๆ ลองทานเช่นกัน กล่าวกันว่า ในที่สุดพระนักบวชทุกคนในเอธิโอเปียได้ทานกันหมด และช่วยให้สามารถสวดมนต์ได้ในตอนกลางคืนโดยไม่รู้สึกง่วงนอนเลย

             ต้นพืชชนิดนั้น คือ กาแฟ นั่นเอง ซึ่งมีผลเป็นลูกเล็กๆเรียงกันเป็นช่อๆ เมื่อสุกเต็มที่ผลเหล่านั้นจะมีสีแดง ลักษณะคล้ายลูกเชอร์รี่ ภายในแต่ละลูกมีเมล็ดกาแฟอยู่ ซึ่งโดยปกติแล้วจะมี 2 เม็ดประกบกัน แต่บางลูกก็มีเพียงเมล็ดเดียว ต่อมาพืชชนิดนี้ได้รับการเรียกชื่อว่า คัฟฟา (Kaffa) ตามชื่อของเขตที่ได้มีการพบต้นกาแฟเป็นครั้งแรก ทั้งนี้ นับเป็นเวลาหลายร้อยปีที่ชาวเอธิโอเปียนิยมเคี้ยวเมล็ดกาแฟ (coffee beans) และไม่ได้นำไปต้มดื่มอย่างในปัจจุบัน โดยพวกเขานำทั้งเมล็ดหรือนำไปบดให้ละเอียด ผสมกับเนยชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “กี (ghee)” แล้วปั้นเป็นก้อนไว้เคี้ยวทาน แม้ในปัจจุบันนี้ชาวเอธิโอเปียบางส่วนที่อาศัยอยู่ในคัฟฟาหรือเขตใกล้เคียง เช่น ซิดาโม (Sidamo Province) ยังคงนำเมล็ดกาแฟไปเคี้ยวทานแบบสมัยก่อนอยู่ นอกจากนี้ยังได้มีการนำเมล็ดกาแฟไปผสมกับเหล้าองุ่นและเครื่องดื่มที่ทำจากผลไม้และถั่วตากแห้ง จนกระทั้งในศตวรรษที่ 13 จึงได้มีการนำเมล็ดกาแฟไปต้มและทำเป็นเครื่องดื่มร้อน เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา

             มีหลักฐานระบุว่ากาแฟได้ถูกนำเข้าไปเผยแพร่ในคาบสมุทรอาระเบียโดยพ่อค้าอาหรับชาวเยเมนเมื่อปี ค.ศ. 1000 ต่อมาได้มีการนำเมล็ดกาแฟไปต้มเป็นเครื่องดื่ม ชาวอาหรับไม่เพียงแต่รู้จักการปลูกกาแฟเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่เริ่มการค้าขายกาแฟด้วย จากนั้นมากาแฟได้ถูกนำไปแพร่หลายในเปอร์เซีย อียิปต์ ซีเรีย และตุรกี เหตุที่ทำให้กาแฟเป็นที่นิยมอาจมาจากปัจจัยที่ว่า ในคัมภีร์อัลกุรอานนั้นห้ามไม่ให้ชาวมุสลิมดื่มแอลกอฮอล ดังนั้น กาแฟจึงเป็นเครื่องดื่มทดแทนสำหรับพวกเขาได้อย่างดี ในประเทศอาหรับนั้น กาแฟเป็นที่นิยมดื่มทั้งในบ้านและที่ร้านขายกาแฟที่เรียกว่า คาห์เวห์ คาเนท์ (qahveh khaneh) ซึ่งเริ่มมีขึ้นในเมืองต่างๆ ทั่วตะวันออกไกล นอกจากชาวอาหรัรบจะดื่มกาแฟและสนทนาพาทีระหว่างกันแล้ว พวกเขายังนิยมฟังเพลง ชมการแสดง เล่นหมากรุก และแลกเปลี่ยนข่าวสารของแต่ละวันด้วย ร้านขายกาแฟจึงเป็นศูนย์ของการแลกเปลี่ยนข่าวสารที่สำคัญของเมือง และเรียกกันว่าเป็น “โรงเรียนของนักปราชญ์ (School of the Wise)” นอกจากนี้ การที่นักแสวงบุญจากทั่วโลกได้เดินทางไปที่นครมักกะห์ทุกปี ทำให้ชื่อเสียงของเครื่องดื่มกาแฟที่ชาวอาหรับเรียกกันว่าเป็น “ไวน์ของชาวอาหรับ (Wine of Araby)” นั้น แพร่หลายขจรขจายออกไปยังนอกคาบสมุทรอาระเบีย ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษาความเป็นผู้ผูกขาดในการค้าขายกาแฟ ชาวอาหรับได้พยายามอย่างยิ่งที่จะปกป้องเรื่องการปลูกกาแฟของตน

             อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1615 พ่อค้าชาวดัชท์สามารถนำกาแฟจากอาหรับออกไปยังยุโรปได้เป็นครั้งแรก จากนั้นกาแฟได้กลายเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีคุณค่าและเป็นเครี่องดี่มที่ได้รับความนิยมจนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตและวัฒนธรรมของโลกตะวันตกเลยทีเดียวสังคมชั้นสูงของยุโรปเรียกกาแฟว่าเป็น “เครื่องดื่มของนักปราชญ์”ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่นำไปสู่การเพร่หลายของกาแฟ คือ การแผ่ขยายของศาสนาอิสลามทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกาในยุโรป และในเอเชียใต้ ซึ่งในครั้งแรกนั้นเป็นการแผ่ขยายโดยอาณาจักร ออตโตมาร (Ottoman Empire) และต่อมาโดยพ่อค้าและการเดินเรือระหว่างกัน ซึ่งทำให้กาแฟได้เริ่มแพร่เข้าไปยังเมืองท่าริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยเฉพาะที่นครเวนิส (Venice) อันเป็นเมืองท่าสำคัญของอิตาลีที่มีเรือสินค้าจากเอเชียไปจอดเทียบท่าเพื่อซื้อขายสินค้ากันมากมาย กาแฟจึงถูกนำไปแพร่หลายในเอเชียในเวลาต่อมา

             ที่นครเวนิสในช่วงแรกนั้น ราคาของกาแฟสูงมาก เฉพาะผู้มีฐานะร่ำรวยเท่านั้น ต่อมากาแฟเริ่มแพร่หลายมากขึ้น ราคากาแฟถูกลง และได้มีการตั้งร้านขายกาแฟ (corree shop) ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1640 จากนั้นเมืองอื่นๆ ในอิตาลีได้ทำการเปิดร้านขายกาแฟขึ้นเช่นกัน มีเรื่องเล่ากันมาว่าในช่วงแรกๆ ได้มีชาวคริสต์บางกลุ่มต่อต้านเครื่องดื่มกาแฟ โดยเห็นว่าเป็นเครื่องดื่มแห่งความชั่วร้าย จึงได้เรียกร้องให้พระสันตะปาปา Clement ที่ 8 เป็นผู้ตัดสินซึ่งก่อนที่พระองค์จะทรงวินิจฉัยก็ได้ทรงลองดื่มกาแฟ ปรากฏว่าพระองค์ทรงพอใจในรสชาติของกาแฟ จึงได้ทรงตัดสินอนุญาตให้ชาวคริสต์ดื่มกาแฟได้โดยไม่เป็นบาป ทำให้กาแฟได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น มีหลักฐานระบุด้วยว่าในปี ค.ศ. 1801 ที่เมืองมิลาน (Milan) ประเทศอิตาลีมีการนำเมล็ดกาแฟไปผสมทำเป็นยาเพื่อรักษาโรคต่างๆ ด้วย

             การส่งออกกาแฟจากอาหรับไปขายยังยุโรปมีขึ้นที่เมืองท่าอเล็กซานเดรีย (Alexandria) และเมืองสไมร์นา (Smyrna) ในประเทศอียิปต์ อย่างไรก็ตาม จากความต้องการที่มากขึ้นของตลาด ตลอดจนความรู้เทคโนโลยีในการปลูกต้นกาแฟ และภาษีที่ถูกเรียกเก็บอย่างแพงตามเมืองท่าส่งออก ทำให้พ่อค้าขายเมล็ดกาแฟและนักวิทยาศาสตร์พยายามค้นคว้าการปลูกกาแฟในประเทศอื่นๆ แทนการนำเข้าจากประเทศอาหรับเหล่านี้ เช่น สเปน และโปรตุเกส ได้ทดลองปลูกกาแฟในประเทศอานานิคมของตนทั้งในเอเชียและอเมริกาส่วนชาวดัชท์ไปทดลองปลูกกาแฟในเขตอาณานิคมของตนในชวาและปัตตาเวีย ซึ่งเมื่อประสบความสำเร็จก็ได้นำพันธุ์กาแฟไปปลูกต่อที่เกาะสุมาตราและเกาะเซเลเบส (Celebes) ชาวดัชท์เป็นยุโรปชาติแรกที่ได้ตั้งบริษัทค้าขายกาแฟขึ้นที่เกาะชวาด้วย ในปี ค.ศ. 1714 นายกเทศมนตรีของเมืองอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) ได้มอบต้นกาแฟให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ซึ่งพระองค์ได้ทรงนำไปทดลองปลูกในสวนพฤกษชาติ (Royal Botanical Garden) ในกรุงปารีส ต่อมาในปี ค.ศ. 1723 นายกาเบรียล แมททิว เดอ คลิเออ (Gabriel Mathieu de Clieu) นายทหารเรือฝรั่งเศสได้รับอนุญาตให้นำเอาต้นกาแฟจากสวนพฤกษชาติดังกล่าวไปทดลองปลูกที่เกาะมาร์ตินิค (Martinique) ซึ่งเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในทะเลแคริบเบียน ต้นกาแฟเหล่านั้นได้เติบโตและแพร่ขยายอย่างรวดเร็วมากว่า 18 ล้านต้นใน 50 ปี และพันธุ์กาแฟจากที่แห่งนี้เองที่ได้แพร่ขยายไปทั่วหมู่เกาะแคริบเบียนและต่อไปยังอเมริกากลางและอเมริกาใต้ด้วย

             สำหรับประเทศบราซิลนั้น มีเรื่องเล่าว่า พันเอก ฟรานซิสโก เดอ เมลโล พาลเฮตา (Col. Francisco de Mello Palheta) ชาวบราซิล ได้เป็นผู้นำเมล็ดกาแฟจากอาณานิคมฝรั่งเศสที่แฟรนซ์ กีอานา (French Guiana) ไปปลูก โดยภริยาของผู้ว่าการแห่งเฟรนซ์ กีอานาได้ลักลอบนำเอาเมล็ดของต้นกาแฟซ่อนไว้ในช่อดอกไม้มอบให้เป็นของขวัญแก่นายพาลเฮตานั่นเอง การปลูกกาแฟมีขึ้นอย่างจริงจังทางเหนือของประเทศบราซิล แต่เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้มีการย้ายที่ปลูกไปยังริโอ เดอ จาเนโร (Rio de Janeiro) และ ต่อมาย้ายไปที่ซานเปาโล (San Paolo) และมินาส (Minas) / ซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ทำให้กาแฟกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของบราซิลจากนั้นเป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม เมื่อปี ค.ศ.1975 ได้เกิดโรคระบาดต้นกาแฟ ทำให้เกิดการขาดแคลนกาแฟในบราซิลจึงได้มีการคิดค้นนำเอาพืชหรือรากของพืชชนิดอื่นไปทำเพื่อทดแทนเป็นกาแฟ ซึ่งพืชชนิดหนึ่งที่นิยมกันมาคือ ซิคโครี (chicory) แม้ว่าต่อมาจะมีการผลิตกาแฟได้เหมือนเดิม แต่เครื่องดื่มทดแทนกาแฟก็ได้กลายเป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ไม่สามารถดื่มกาแฟซึ่งมีสารคาเฟอีนได้

             ในอังกฤษนั้น การดื่มกาแฟได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ในกลางศตวรรษที่ 17 มีร้านขายกาแฟมากว่า 300 แห่งในกรุงลอนดอน ซึ่งร้านเหล่านี้ได้กลายเป็นที่รวมของพ่อค้า นักเดินเรือและศิลปินอีกด้วย สำหรับอาณานิคมของอังกฤษในโลกใหม่ (New World) คือสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันทั้น เมื่อกลางทศวรรษที่ 1600 ชาวอังกฤษได้นำกาแฟเข้าไปยังเมืองนิว อัมสเตอร์ดัม (New Amsterdam) ซึ่งต่อมาคือนครนิวยอร์คนั่นเอง อย่างไรก็ตาม แม้ร้านขายกาแฟจะเกิดชึ้นอย่างรวดเร็วในโลกใหม่แห่งนี้ แต่ผู้คนยังนิยมดื่มชากันมาก จนกระทั่งปี ค.ศ. 1773 เมื่อชาวอาณานิคมก่อการปฏิวัติเรื่องภาษีในชาที่เมืองบอสตัน (Boston Tea Party) เพราะกษัตริย์จอร์จ (King George) แห่งอังกฤษได้ทรงบัญชาให้มีการขึ้นภาษีใบชา จึงกล่าวกันว่าการปฏิวัติเรื่องภาษีใบชานั้นได้มีส่วนทำให้ชาวอาณานิคมหันไปนิยมกาแฟแทน