วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558


"งานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์"




ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ งานเทศกาล นมัสการ องค์พระปฐม




สำหรับ "งานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์" ถือเป็นงานสำคัญที่ปฎิบัติสืบทอดกันอย่างยาวนาน สำหรับพุทธศาสนิกชนที่จะมีโอกาสไหว้พระพุทธรูปสำคัญในวิหารทั้ง 4 ทิศ (พระร่วงโรจนฤทธิ์ , พระนอนองค์ใหญ่ และพระประทานพร 1,000 ปี ทำจากศิลาสีขาวสมัยทวารวดี) เพื่อเป็นการสืบทอดประเพณีและให้ชาวพุทธบูชาพระบรมสารีริกธาตุในองค์พระปฐมเจดีย์ ตลอดจนเป็นการอนุรักษ์และเผยแพร่วัฒนธรรมและประเพณีที่ดีงามของคนไทยอีกด้วย 

             นอกจากนี้ยังมีการออกร้านแสดงสินค้า และการแสดงมหรสพต่าง ๆ อีกมากมาย และยังเป็นการเปิดโอกาสให้เกษตรกรได้นำสินค้า และผลิตภัณฑ์พื้นเมือง OTOP มาจำหน่าย และยังเป็นสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในจังหวัดนครปฐมอีกด้วย ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก สำนักจัดประโยชน์และรักษาองค์พระปฐมเจดีย์ โทรศัพท์ 0 3421 5485 หรือ ททท.สำนักงานสมุทรสงคราม โทรศัพท์ 0 3475 2847-8
ประวัติวันฮาโลวีน (Halloween)


วันฮาโลวีน




ความเป็นมาของวันฮาโลวีน 

          วันฮาโลวีนของทุกปี จะตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม เชื่อว่ามีที่มาจากวันฉลองปีใหม่ของชาวเซลท์ (Celt) ในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่เรียกว่า Samhain ซึ่งเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งความตายทั้งนี้ ในวันที่ 31 ตุลาคม ชาวเคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่าเป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นวันขึ้นปีใหม่  

          ซึ่งในวันที่ 31 ตุลาคมนี่เองที่ชาวเคลต์เชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตาย และคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมา จะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เดือดร้อนถึงคนเป็น ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเคลต์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย และยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้าย และส่งเสียงดัง เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป   

          นอกจากนี้คืนดังกล่าวยังเป็นคืนเฉลิมฉลองการสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยว และอาจมีการนำสัตว์ หรือพืชผลมาบูชายัญให้กับเหล่าภูติผี และวิญญาณด้วย หลังจากคืนนั้นไฟทุกดวงจะถูกดับ และจุดขึ้นใหม่ด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์ของชาวเซลท์  

          บางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา "คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง" เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสตกาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเคลต์ แต่ได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน   

          ในสมัยต่อชาวโรมันคาทอลิกต้องการกำจัดพิธีเฉลิมฉลอง ของกลุ่มชนนอกศาสนาคริสต์เหล่านี้ สันตะปาปา Gregory ที่ 4 จึงได้กำหนดวันที่ 1 พฤศจิกายนให้เป็นวันเฉลิมฉลอง All Saints Day หรือ All Hallows Day สำหรับชาวคริสต์เพื่อระลึกถึงนักบุญ และผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่การเฉลิมฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคมหรือ Hallow´s Eve ก็ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันแต่ชื่อเรียกได้เพี้ยนไปเป็น Halloween 

          กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนจึงกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป 

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ประวัติและความเป็นมาของประเทศไทย



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประเทศไทย ประวัติ



                              ประเทศไทยแต่เดิมมีชื่อว่า "ประเทศสยาม" หรือ "สยามประเทศ"ดินแดนที่เป็นประเทศไทยส่วนใหญ่นับแต่บริเวณภาคใต้ไปจนภาคเหนือ อันเป็นเขต ป่าเขานั้น อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า กึ่งชุ่มชื้น และกึ่งแห้งแล้ง จึงเป็นบริเวณที่เหมาะสมแก่การตั้งหลักแหล่งของชุมชนมนุษย์ให้เป็นบ้านเมืองได้เกือบทั้งสิ้นรัฐหรือแคว้นในดินแดนประเทศไทยในระยะแรกเริ่มส่วนใหญ่ เกิดขึ้นในบริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณพุทธศตวรรษ ที่ 7-8 เรื่อยมา จนถึงพุทธศตวรรษที่ 15การย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานจึงเลือกเฟ้นและจำกัดอยู่ในบริเวณภูมิภาคดังกล่าว ที่มีความเหมาะสมทั้งในด้านเกษตรกรรมและการเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนสินค้ากว่าบริเวณอื่น ๆ ภาคอื่นซึ่งได้แก่ภาคเหนือและบริเวณอื่นที่ใกล้เคียงก็มีผู้คนอยู่เพียงแต่มีแต่เป็นชุมชนเล็ก ๆ กระจายอยู่ตามท้องถิ่นต่าง ๆ เท่านั้นกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถลงมา นับได้ว่ามีฐานะเป็นราชอาณาจักรสยามอย่างแท้จริงสิ่งสำคัญที่แสดงให้เห็นว่ากรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นอาณาจักรสยามอย่างแท้จริง คือมีหลักฐานทั้งด้านพระราชพงศาวดารและกฎหมายเก่าตลอดจนจารึกและลายลักษณ์อื่น ๆ ที่ชี้ให้เห็นว่ามีการปฏิรูปการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินที่รวมศูนย์แห่งอำนาจมาอยู่ภายใต้พระมหากษัตริย์ ณ ราชธานีเพียงแห่งเดียว นั่นก็คือ การยกเลิกการแต่งตั้งเจ้านายในพระราชวงศ์ เช่น พระราชโอรส พระราชนัดดา ไปปกครองเมืองสำคัญที่เรียกว่า เมืองลูกหลวง หรือหลานหลวง ตั้งแต่ก่อนออกกฎข้อบังคับให้บรรดาเจ้านายอยู่ภายในนครโดยมีการแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง ชั้นยศ ศักดิ์ และสิทธิพิเศษของแต่ละบุคคล ส่วนในเรื่องการปกครองหัวเมืองนั้น โปรดให้มีการแต่งตั้งขุนนางจากส่วนกลางไปปกครองเจ้าเมือง ขุนนาง และคณะกรรมการเมืองแต่ละเมืองมีตำแหน่ง ยศ ชั้น ราชทินนาม และศักดินา ลำดับในลักษณะที่สอดคล้องกับขนาดและฐานความสำคัญของแต่ละเมือง ส่วนเมืองรองลงมาได้แก่ เมืองชั้นโท และชั้นตรี ที่มีเจ้าเมืองมียศเป็นพระยาหรือออกญาลงมา บรรดาเจ้าเมืองเหล่านี้ไม่มีอำนาจและสิทธิในการปกครองและการบริหารเต็มที่อย่างแต่ก่อน จะต้องขึ้นอยู่กับการควบคุมของเจ้าสังกัดใหญ่ในพระนครหลวง ซึ่งประกอบด้วยฝ่ายทหารและพลเรือน
นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 20 ลงมา ผู้ที่เรียกว่าชาวสยามหรือเมืองที่เรียกว่าสยามนั้น หมายถึงชาวกรุงศรีอยุธยาและราชอาณาจักรอยุธยาในลักษณะที่ให้เห็นว่าแตกต่างไปจากชาวเชียงใหม่ ชาวล้านนา ชาวรามัญ ชาวกัมพูชา ของบ้านเมืองที่อยู่ใกล้เคียงกัน
ที่ตั้งของประเทศไทย
ประเทศไทยตั้งอยู่ในทวีปเอเชียในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในบริเวณพื้นที่ที่เรียกว่า "คาบสมุทรอินโดจีน" ซึ่งมีความหมายมาจากการเป็นคาบสมุทรที่เชื่อมต่อ คืออยู่ระหว่างกลางของดินแดนใหญ่ บริเวณ คืออินเดียทางตะวันตก และจีนทางตะวันออก โดยล้อมรอบไปด้วยเพื่อนบ้านใกล้เคียง คือ พม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซีย และเพื่อนบ้าน ในเขตภูมิภาคคือ เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน และฟิลิปปินส์
ภาษา
ประเทศไทยมีภาษาของตนเองโดยเฉพาะทั้งภาษาพูดและเขียนเป็นภาษาประจำชาติ เรียกว่า "ภาษาไทย" เราไม่ทราบแน่นอนว่าภาษาไทยกำเนิดมาจากแหล่งใด แต่เมื่อพบศิลาจารึกที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงประดิษฐ์ขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 1826 เป็นต้นมา ทำให้เราสามารถทราบประวัติและวิวัฒนาการของภาษไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย จนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ภาษาไทยมีลักษณะเฉพาะตัวเป็นภาษาที่มีระดับเสียง โดยการใช้วรรณยุกต์กำกับ คือมีเสียงวรรณยุกต์ รูป คือ ไม้เอก โท ตรี และจัตวา กำกับบนอักษรซึ่งปัจจุบันมีอักษรใช้ 44 ตัว แบ่งออกเป็นอักษรสูง 11 ตัว อักษรกลาง ตัว และอักษรต่ำ 24 ตัว มีสระ 28 รูป ซึ่งมีเสียงสระ32 เสียง ประกอบคำโดยนำเอาอักษรผสมกับสระวรรณคดี ต่าง ๆ ทั้งที่เป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง นั้นกวีได้นำคำมารจนาให้เกิดความไพเราะเพราะพริ้งได้ ทั้งนี้สาเหตุหนึ่งเนื่องมาจากลักษณะของภาษาไทย นั่นเอง
เมืองหลวง
กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย มีเนื้อที่กว้าง 1,549 ตารางกิโลเมตร เป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญต่าง ๆ ของชาติแต่เดิม กรุงเทพมหานคร มีฐานะเป็นจังหวัด ๆ หนึ่งเรียกชื่อตามราชการว่า จังหวัดพระนคร ต่อมาได้รวมกับจังหวัดธนบุรี ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งขวาแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามกับกรุงเทพฯ ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 24 ลงวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2514 เป็นจังหวัดเดียวกันโดยเรียกชื่อใหม่ว่านครหลวงกรุงเทพธนบุรี และต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 335
รัฐบาลและการปกครอง
ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล ประเทศไทยมีการจัดระเบียบการปกครองภายในประเทศอย่างเป็นระบบ มาช้านานแล้ว ซึ่งยังผลให้ประเทศไทยมีความเป็นปึกแผ่นและสามารถรักษาเอกราชมาได้จนถึงทุกวันนี้ การปกครองของไทยได้ปรับและเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับกาลสมัย และเป็นไปตามความต้องการของประเทศชาติเสมอมา ทำให้วิธีดำเนินการปกครองแต่ละสมัยแตกต่างกันไป
สมัยสุโขทัย (พ.ศ. 1781 - 1981)
การปกครองเป็นแบบพ่อปกครองลูก ผู้ปกครองคือพระมหากษัตริย์ คำนำหน้าของ พระมหากษัตริย์ไทยในสมัยนั้นจึงใช้คำว่า "พ่อขุน"
สมัยอยุธยา (พ.ศ. 1893 - 2310)
เริ่มต้นเมื่อพระเจ้าอู่ทอง ทรงตั้งกรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานีเมื่อราวปี พ.ศ. 1893 คำที่ใช้เรียกพระเจ้าอู่ทองมิได้เรียก "พ่อขุน" อย่างที่เรียกกันมาครั้งสุโขทัย แต่เรียกว่า "สมเด็จ พระพุทธเจ้าอยู่หัว" พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะเทวราชหรือสมมติเทพ เป็นองค์รัฐาธิปัตย์ ปกครองแผ่นดิน
สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ. 2325 - 2475)
ได้นำเอาแบบอย่างการปกครองในสมัยสุโขทัย และอยุธยามาผสมกัน ฐานะของพระมหากษัตริย์เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้อยู่ในฐานะเทวราชหรือสมมติเทพดังแต่ก่อน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับราษฎรมีความใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ถึงแม้จะปกครองตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่มีลักษณะประชาธิปไตยแฝงอยู่ในหลายรูปแบบ เช่น แทรกอยู่ในการปกครองพระมหากษัตริย์ทรงให้สิทธิเสรีภาพแก่ประขาชนในการดำรงชีวิต การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สิ้นสุดลงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยคณะราษฎร์ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของการ ปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีศูนย์อำนาจการปกครองอยู่ที่ สถาบันสำคัญคือ สถาบันนิติบัญญัติ ซึ่งมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจในการออกกฎหมาย สถาบันบริหารซึ่งมีคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร และสถาบันตุลาการซึ่งมีศาลสถิตยุติธรรมเป็นผู้ใช้อำนาจหน้าที่พิพากษาอรรถคดีในพระปรมาภิไธย
ศาสนา
ประเทศไทย มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ คนไทยสามารถนับถือศาสนาต่าง ๆ กันได้ แต่มีผู้นับถือศาสนาพุทธกว่าร้อยละ 90 คนไทยยังนับถือศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และซิกซ์เป็นต้น รัฐธรรมนูญของไทยและกฎหมายอื่น ๆ ให้ความคุ้มครองในเรื่องการนับถือศาสนาเป็นอันดี ไม่ได้บังคับให้ประชาชนชาวไทยนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง เป็นการเฉพาะ โดยถือว่าบุคคลย่อมมีเสรีภาพในการนับถือศาสนานิกายของศาสนา แม้ศาสนาต่าง ๆ จะมีแนวทางปฏิบัติและรายละเอียดบางประการที่แตกต่างกันแต่ก็มีหลักเดียวกันคือต่างมุ่งสอนให้ทุกคนประกอบความดี ละเว้นความชั่ว ทั้งนี้เพื่อความเจริญของบุคคลในทางร่างกาย และจิตใจ อันจะนำสันติสุขมาสู่สังคมส่วนรวม






ช้างไทย






ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ช้างไทย ประวัติ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ช้างไทย ประวัติ








ประวัติโดยย่อ

              
ช้างไทยเป็นสัตว์ประจำชาติไทย และเป็นที่สำคัญต่อพระพุทธศาสนา และประเทศไทยยังเคยมี  ธงชาติ
ที่ประทับลายช้างเผือกไว้ด้วย ถ้าพูดถึงในสมัยก่อนนั้น  ช้างมีความสำคัญมากในด้านการศึก  ด้านการทำสงคราม  ช้างทำให ้ ขุนนางได้เลื่อนยศมามากคนแล้ว และคนไทยเราก็นิยมในช้างเผือก  ซึ่งเป็นช้างของกษัตริย์ ซึ่งมีลักษณะสวยงามมาก  แต่ว่าหาได้ยากมาก  ซึ่งในการศึก ช้างจะเป็นพาหนะของแม่ทัพ ซึ่งจะมีการศึกบนหลังหลังช้าง เรียกว่า ยุทธหัตถี ถือเป็นการสู้ที่มีเกียรติมาก

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ชนิดของช็อกโกแลต

           ช็อกโกแลตมี 3 ชนิด คือ ช็อกโกแลต (Dark Chocolate) ช็อกโกแลตขาว (White Chocolate) และช็อกโกแลตรสนม (MilkChocolate) 
ช็อกโกแลตแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ซึ่งมีความแตกต่างกันที่ส่วนผสม
 
           
            1. Sweet Chocolate (ช็อกโกแลตชนิดหวาน) ช็อกโกแลตชนิดนี้จะเพิ่มความหวานลงไป มากกว่าช็อกโกแลตแบบหวานน้อย และมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตอย่างน้อย 15 % ช็อกโกแลตชนิดนี้ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำขนมและตกแต่งขนม และยังมีไขมันเท่าๆ กับช็อกโกแลตแบบหวานน้อย


            
2.  Liquor Chocolate เป็นผลผลิตจากเมล็ดโกโก้นำมาบดละเอียด แล้วนำมาคั้นเอาแต่น้ำ เจ้าน้ำช็อกโกแลตนี้สามารถ ทำให้เย็นและทำให้แข็งตัวโดยใส่พิมพ์ไว้ แต่ช็อกโกแลตที่ได้เป็นชนิดที่ ไม่หวาน น้ำช็อกโกแลตนี้จะมีส่วนผสมของ โกโก้บัทเตอร์ประมาณ 53%
            Liquid Chocolate เป็นช็อกโกแลตที่ไม่หวาน ส่วนใหญ่จะบรรจุขายเป็นขวดๆ ละ 1 ออนซ์ และเนื่องจากมันไม่ละลาย จึงสะดวกในการใช้มาก โดยพัฒนาขึ้นมาสำหรับใช้ทำขนมอบ อย่างไรก็ดีเนื่องจากมีส่วนผสมของน้ำมันพืชมากกว่า cocoa butter ซึ่งเนื้อช็อกโกแลตจะแตกต่างกัน

            3.  dark chocolate หรือช็อกโกแลตดำ มีทั้งชนิด sweet chocolate semi-sweet bitter sweet หรือ unsweetened มีส่วนประกอบของเนื้อโกโก้ เนยโกโก้ ส่วนนมผงมีเล็กน้อยหรือไม่มีเลย   sweet dark chocolate เหมือนกัน semisweet chocolate ใช้แทนกันได้ในการทำขนม มีเนื้อโกโก้ 35 – 45 %   bittersweet chocolate เป็น dark chocolate ที่จะต้องมีเนื้อโกโก้อย่างน้อย 35 % ขึ้นไป ช็อกโกแลต ชนิดนี้ถ้ามีคุณภาพดี ควรจะมีเนื้อโกโก้ 50 – 85 % ถ้ามีเนื้อโกโก้มากจะมีน้ำตาลน้อย หากเป็นชนิดยุโรป bittersweet chocolate มักจะมีเนื้อโกโก้มาก และมีรสขมมาก   unsweettened chocolate บางทีเรียก baking chocolate หรือ plain chocolate ส่วนมากใช้ทำ ขนม กลิ่นรส ไม่เหมาะสำหรับนำมารับประทาน มีเนื้อโกโก้ประมาณ 75 % ที่เหลือเป็นเนยโกโก้


            
4.  white chocolate ประกอบด้วยเนยโกโก้ น้ำตาล และนมผง ไม่มีเนื้อโกโก้ แต่อาจเติมวานิลาหรือสารแต่งกลิ่นบางประเทศไม่เรียกช็อกโกแลต เพราะไม่มีส่วนของเนื้อโกโก้  มีกลิ่นของโกโก้น้อย

            
White Chocolate ช็อกโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของ cocoa butter แต่ไม่มีโกโก้ที่อยู่ในรูปของไขมัน แต่จะประกอบไปด้วยน้ำตาล , cocoa butter , นมสด และ ใส่กลิ่นวานิลลาลงไปด้วย White chocolate นี้จะแตกหักง่าย หากเป็นของปลอมจะทำมาจากน้ำมันพืชมากกว่า cocoa butter


            5.  milk chocolate จัดเป็น sweet chocolate ประกอบด้วยโกโก้ลิเคอร์ เนยโกโก้ น้ำตาล นมผง ส่วนมากจะมีส่วนผสมของนมผงมากกว่าโกโก้ลิเคอร์ มีส่วนผสมของเนื้อโกโก้ 10 – 20 % และนมผง 12 %

            
Milk Chocolate (ช็อกโกแลตนม) ช็อกโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของ cocoa butter , นม และยังเพิ่ม ความหวานและรสชาติลงไปด้วย ช็อกโกแลตนมนี้ใช้สำหรับแต่งหน้าขนมได้เป็นอย่างดี ช็อกโกแลตนมที่ทำในประเทศสหรัฐฯ ต้องประกอบด้วยน้ำช็อกโกแลตอย่างน้อย 10% และนมที่ไม่ได้เอามันเนยออก 12%

   
            6. semisweet chocolate ประกอบด้วยโกโก้ลิเคอร์ เนยโกโก้ และน้ำตาลเล็กน้อย ใช้ทำขนมเค้ก คุกกี้ บราวนี ใช้แทนช็อกโกแลตดำได้ มีส่วนผสมของเนื้อโกโก้ (cocoa solid) ประมาณ 40 – 62 %

            
Semi-Sweet (แบบหวานน้อย) ช็อกโกแลตชนิดนี้อยู่ในรูปของเหลวแล้วเพิ่มความหวานและใส่ cocoa butter ลงไปด้วย สีของช็อกโกแลตชนิดนี้สีจะเข้ม ตามมาตรฐานของสหรัฐฯ จะมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตประมาณ35%และมีไขมัน ประมาณ 27%


            
7.   Couverture ช็อกโกแลตชนิดนี้เป็นชนิดที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว คือ เป็นมันเงา โดยปกติจะมีส่วนผสมของ cocoa butter อย่างน้อยที่สุด 32% ทำให้มันสามารถคงตัวอยู่ในรูปของไขได้ดีกว่าชนิดเคลือบ ปกติแล้วจะใช้เฉพาะในร้าน ที่ทำขนมหวานเท่านั้น ส่วนใหญ่จะพบอยู่ในรูปของส่วนที่เคลือบอยู่ภายนอกผลไม้หรือหุ้มไส้ช็อกโกแลตอยู่ Ganache ช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีลักษณะข้นมาก นิยมนำไปทำเค้กช็อกโกแลต Ganache ทำโดยการหั่นช็อกโกแลต และใส่วิปปิ้งลงไปตีในครีมร้อนๆ ผสมกันจนช็อกโกแลตละลายและส่วนผสมข้นและแข็งขึ้น


            8.  Confectionery Coating (เคลือบลูกกวาด) เป็นช็อกโกแลตที่ไว้เคลือบลูกกวาด โดยนำไปผสมกับน้ำตาล นมผง น้ำมันพืช และสารปรุงแต่งรสชาติต่างๆ มีสีสันหลากหลาย ลูกกวาดที่ได้นี้ผงโกโก้จะมีไขมันต่ำ แต่จะไม่มีส่วนผสมของ cocoa butter เหมือนชนิดอื่นๆ จึงแยกออกมาเป็นอีกประเภทหนึ่งได้
         


             ช็อกโกแลตเป็นขนมที่มีคุณค่าโภชนาการค่อนข้างสูง นอกจากจะให้พลังงาน จากคาร์โบไฮเดรตและไขมันแล้ว ยังมีวิตามิน เอ ดี เค และธาตุเหล็ก ค่อนข้างสูงแต่ยังไง การรับประทานช็อกโกแลต ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ

แอปเปิ้ลผลไม้แห่งการลดน้ำหนัก


รู้หรือไม่ว่า กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง

แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด
พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน
เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า “เพคติน” ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง
นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ

แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน

เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง

ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก?

จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน

กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์

ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ
ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558



อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ 







อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เป็นการศึกษาโบราณสถานที่ทรงคุณค่า มีอายุกว่า 800 ปี ได้เห็นถึงอิทธิพลของขอมในอดีต และเรียนรู้ความเป็นมาจากสถาปัตยกรรมการสร้างปราสาทขอม

ปราสาทเมืองสิงห์ ตั้งอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ เขตตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค แต่ก่อนเคยเป็นเมืองสิงห์ มีผังเมืองเกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส อยู่บนที่ราบริมฝั่งด้านขวาของแม่น้ำแควน้อย พื้นที่ประมาณ 641 ไร่ 1 งาน 65 ตารางวา กำแพงเมืองก่อด้วยศิลาแลง ขนาดกว้าง 880 เมตร มีประตูเข้าออกทั้ง 4 ด้าน บริเวณด้านนอกกำแพงเมืองสามด้าน (ด้านตะวันตก เหนือ และตะวันออก) มีคูน้ำคันดินกั้นเป็นกรอบล้อมรอบอีก 7 ชั้น ส่วนทางด้านทิศใต้ กำแพงเมืองคดโค้งไปตามแนวลำน้ำแควน้อย ที่เป็นปราการธรรมชาติ

ภายในอุทยานได้แบ่งพื้นที่เข้าชมโบราณสถานเป็นส่วนๆ มีทั้งการจัดแสดงภายในอาคาร และซากโบราณสถานทั้ง 4 แห่ง

พิพิธภัณฑ์จัดแสดงศิลปวัตถุ
เป็นอาคารสำหรับเก็บ และจัดแสดงวัตถุต่างๆ ที่ได้จากการขุดแต่งโบราณสถาน เพื่อให้ได้ศึกษา เรียนรู้ เช่นภาชนะดิน เครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องประดับที่ทำด้วยหินและแก้ว รวมทั้งโครงกระดูก ที่ขุดค้นได้ทางโบราณคดี ที่มีอายุกว่า 2000 ปี





5 อาหารขึ้นชื่อของประเทศไทย

5 อาหารไทย ติดใจคนทั่วโลก

 ต้มยำกุ้ง

       
       “ต้มยำกุ้ง” ถือเป็นเมนูแรกๆ ที่ชาวโลกพูดถึงหากมีหัวข้อเกี่ยวกับอาหารไทย โดยต้มยำนั้นถือเป็นอาหารประเภทแกง เน้นรสเปรี้ยวและเผ็ดเป็นหลัก ผสมกับความเค็มและหวานเล็กน้อย ส่วนใหญ่แล้วคนจะรู้จักต้มยำกุ้งมากกว่าต้มยำที่ใส่เนื้อสัตว์ชนิดอื่น 
       
       ต้มยำกุ้งจะมี 2 ประเภท คือ ต้มยำน้ำใส และต้มยำน้ำข้น ซึ่ง สันติ ได้ให้คำอธิบายไว้ว่า ต้มยำโบราณจริงๆ นั้นไม่ได้ใส่น้ำพริกเผาเหมือนในทุกวันนี้ และจะเป็นต้มยำน้ำใส ที่ใส่มันกุ้งให้ดูสวยงามและเพิ่มรสชาติ ในช่วงหลัง เริ่มหามันกุ้งได้ยากขึ้นเพราะคนกินเยอะ เลยประยุกต์ใส่น้ำพริกเผาลงไปแทนเพื่อให้สีสันสวยงาม และยังมีการใส่กะทิ หรือนมสด ลงไปในต้มยำในภายหลัง ถือเป็นการดัดแปลงและพัฒนาจากน้ำใสมาเป็นน้ำข้น ส่วนความหวาน เดิมจะได้รสหวานมาจากความสดของกุ้ง แต่ปัจจุบันใส่ทั้งน้ำพริกเผา นมสด และน้ำตาล เพื่อให้ได้รสหวานมากขึ้น จนไม่ใช่รสชาติดั้งเดิมของต้มยำกุ้ง





5 อาหารไทย ติดใจคนทั่วโลก

ส้มตำ
           

 คนมักจะเข้าใจว่า “ส้มตำ” เป็นอาหารพื้นเมืองของภาคอีสาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ส้มตำเป็นอาหารที่ถือกำเนิดขึ้นในภาคกลาง ซึ่งในสมัยก่อนนั้น ในประเทศไทยไม่ได้ปลูกต้นมะละกอ แต่มะละกอมีต้นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ จากนั้นก็ถูกเผยแพร่เข้ามาสู่ทวีปเอเชีย และมีอยู่ที่เมืองมะละกาเป็นหลัก ภายหลังก็ถูกเผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทย โดยคนไทยเองก็เข้าใจว่าพืชชนิดนี้มาจากมะละกา จึงมีการเรียกชื่อเพี้ยนมาเป็นมะละกอ เหมือนในปัจจุบัน

 “คนไทยเราตำมะละกอที่เรียกว่าส้มตำมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากได้มะละกอและพริก ซึ่งมาจากอเมริกาใต้เหมือนกัน นำมาตำพร้อมๆ กัน และสมัยก่อนก็ยังไม่มีการใส่ปลาร้า ใส่มะกอก แต่จะตำแบบไทยๆ คือ ใส่มะนาวและน้ำตาลปี๊บ เพราะคนไทยกินรสเปรี้ยวหวาน ส่วนส้มตำไทยแท้ๆ ก็จะใส่กุ้งแห้ง และถั่วลิสงด้วย แต่พอคนอีสานมาเห็นส้มตำไทย ก็ปรับเปลี่ยนรสชาติตามที่ชอบ คือ คนอีสานจะกินรสเค็มเผ็ด จึงไม่ใส่น้ำตาล และใส่ปลาร้าเพิ่มเติม” สันติ กล่าว

                
       นอกจากส้มตำแบบพื้นฐานแล้ว ก็ยังมีการประยุกต์ส้มตำให้เป็นไปตามแบบของแต่ละท้องถิ่น หรือตามรสชาติที่ชอบอีกด้วย อาทิ ส้มตำปูปลาร้า ตำซั่ว ตำป่า ตำไข่เค็ม ส้มตำหอยดอง และส้มตำปูม้า หรือจะนำผัก-ผลไม้อื่นๆ มาใช้แทนมะละกอ เช่น ตำมะม่วง ตำกล้วย ตำแตง ตำถั่ว เป็นต้น 





5 อาหารไทย ติดใจคนทั่วโลก

  ผัดไทย

       
    
   “ผัดไทย” เป็นอาหารอีกจานที่คนต่างชาติรู้จักกันมาก เนื่องจากชื่ออาหารที่เรียกง่าย และบ่งบอกความเป็นอาหารไทยได้อย่างชัดเจน เมื่อเร็วๆ นี้ Hotels.com เว็บไซต์ด้านโรงแรมและการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของโลก ได้สำรวจอาหารชาติต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวนิยมกินมากที่สุดระหว่างการเดินทางไปท่องเที่ยวยังต่างแดน ผลปรากฏว่า อาหารไทยติดอันดับที่ 7 และเมนู “ผัดไทย” ก็ถือเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบรรดาอาหารไทย
               
       อันที่จริงแล้วผัดไทยนั้นมีมาตั้งแต่โบราณ และเป็นหนึ่งในอาหารจำพวกก๋วยเตี๋ยวผัด แต่เริ่มเป็นที่รู้จักกันทั่วไป และเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติมากขึ้นในสมัยของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ จากสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้มีการรณรงค์ให้หันมานิยมกินก๋วยเตี๋ยวแทน เพื่อลดการบริโภคข้าวภายในประเทศ และยังมีการเปลี่ยนชื่อให้เป็น “ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย” เพื่อเน้นความนิยมไทยอีกด้วย






5 อาหารไทย ติดใจคนทั่วโลก


  แกงเขียวหวาน

       
    
   “แกงเขียวหวาน” เป็นแกงกะทิที่ถูกพัฒนามาจากแกงเผ็ดแบบดั้งเดิม คือ แกงเผ็ดจะใช้พริกแห้งสีแดงเป็นส่วนผสม จากนั้นก็เปลี่ยนมาใช้พริกสดสีเขียว และใส่ใบพริกสดตำลงไปพร้อมกับเครื่องแกงด้วย เพื่อให้มีสีเขียวที่เด่นชัดขึ้น
               
       ชื่อแกงเขียวหวานมีที่มาจากสีเขียวของเครื่องแกง แต่คำว่า “หวาน” นั้น ไม่ได้หมายถึงรสชาติของอาหารแต่อย่างใด กลับหมายถึงเป็นแกงที่มีสีเขียวแบบหวาน คือเขียวนวลๆ ไม่ฉูดฉาด ส่วนรสชาติของเมนูนี้จะเน้นเค็มนำ แล้วหวานตาม และจะมีความเผ็ดมากกว่าแกงเผ็ดชนิดอื่นเล็กน้อย เพราะใช้พริกสดเป็นเครื่องแกง
               
       และจากกรณีที่มีข่าวฟอร์เวิร์ดว่า พ่อครัวชาวอเมริกันได้จดสิทธิบัตรแกงเขียวหวาน ซึ่งเป็นอาหารของคนไทย ในภายหลังได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว พบว่า ไม่เป็นความจริง ยังไม่มีชาวต่างชาติจดสิทธิบัตรแกงเขียวหวานเป็นของตนเอง และการจดสิทธิบัตรแกงเขียวหวานนั้นมีเพียงคนไทยเท่านั้นที่เป็นผู้ยื่นคำขอจดสิทธิบัตร ดังนั้น แกงเขียวหวานก็ยังคงเป็นอาหารของไทยต่อไป
 








5 อาหารไทย ติดใจคนทั่วโลก




มัสมั่น
       
      
 “มัสมั่น” ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก จากการสำรวจของเว็บไซต์ CNNGO ซึ่งก็กลายเป็นเมนูอาหารไทยที่ได้รับความนิยมในต่างแดนไปแล้ว แม้ว่าปัจจุบัน มัสมั่นจะมีสัญชาติเป็นอาหารไทย แต่จุดเริ่มต้นของมัสมั่นนั้นต้นตำรับมาจากอินเดีย แต่ในประเทศไทยนั้นเกิดในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งนำเข้ามาโดยชาวเปอร์เซีย
               
       แกงมัสมั่นแบบต้นตำรับจะมีรสชาติออกเค็มมัน และนิยมใช้เนื้อวัวมาปรุง ส่วนมัสมั่นของไทยจะมีรสหวานนำ และลดปริมาณเครื่องเทศให้น้อยลง และในปัจจุบันมีการเลือกใช้เนื้อสัตว์ที่หลากหลายมากขึ้น ถือเป็นการปรับรสชาติให้เข้ากับความชื่นชอบของคนไทย
               
       นับได้ว่าอาหารไทย 5 เมนูนี้ เป็นจุดเริ่มต้นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ชาวต่างชาติรู้จักอาหารไทยที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีกับการที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลก และยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของไทยอีกด้วย
 



                 




วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558


หอเอนเมืองปีซ่า (Pisa) 





หอเอนปีซ่า อยู่ที่เมืองปีซ่า ประเทศอิตาลี เป็นหอคอยสร้างด้วยหินอ่อน สูง 181 ฟุต มี 8 ชั้น เริ่มสร้าง ค.ศ. 1174 แล้วเสร็จปี ค.ศ. 1350 รวมเวลาการก่อสร้างถึง 176 ปี
   ตามประวัติกล่าวว่า ขณะก่อสร้างเสร็จ ฐานทรดไปข้างหนึ่ง จะเป็นด้วยการคำนวณผิดพลาดหรือประการใดก็ไม่ทราบ เมื่อวัดปรากฏว่าเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 18 ฟุต แต่กระนั้นก็ยังไม่ล้ม ยังเอียงอยู่จนถึงทุกวันนี้
   หอคอยหินอ่อนแห่งนี้ ภายในวิจิตรงดงามด้วยเสาหินอ่อนที่สลักลายฝีมือของจิตรกรชื่อดังแห่งยุค ทำให้เป็นหอที่ทรงคุรค่าทางศิลปะอย่างยิ่ง
   หอคอยแห่งนี้ในยุคนั้น กาลิเลโอ นักดาราศาสตร์ชื่อดังของโลก ได้ทำการทดลองน้ำหนักของวัตถุ และกฏแห่งแรงดึงดูดของโลกเป็นผลสำเร็จ
   กาลิเลโอ เป็นบุคคลที่น่าศึกษามาก เขาเกิดที่เมืองปีซ่า ที่ตั้งหอเอน เขาเกิดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1561 ชอบวิชาคณิตศาสตร์มาก แต่บิดาบังคับให้เรียนวิชาแพทย์ ที่มหาวิทยาลัยปีซ่า ซึ่งการเรียนของเขานี้ ปรากฏว่า เขามักซ่อนความคิดของ "อาคีมีดีส" นักคณิตศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงของโลก เมื่อไปดูการบรรยายเสมอ
   เขาใช้ชีวิตอย่างนักวิทยาศาสตร์ เชื่อมั่นในเหตุผลของตัวเขาเอง ไม่ยอมเชื่อตำราหรือคำพูดของใครเป็นอันขาด แม้จะถูกลงโทษอย่างไร เขาก็ยืนยันในความถูกต้องในความคิดของเขา ซึ่งขัดแย้งกับความรู้เก่า และยังดำเนินชีวิตขัดกับประเพณีนิยมด้วย เขาสอนความรู้ของเขาให้คนอื่นเชื่อตาม โดยขัดแย้งกับความรู้ความคิดเห็นของครูบาอาจารย์ จนกระทั่งในที่สุดเขาถูกขับออกจากมหาวิทยาลัยปีซ่า
   อย่างไรก็ตาม กาลิเลโอยังคงต่อสู้ต่อไปโดยเข้าสอนในมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ ซึ่งให้ความอิสระทั้งด้านความคิด การทดลอง และการค้นคว้าของเขา มหาวิทยาลัยแห่งนี้ชื่อ มหาวิทยาลัยปาดัว ซึ่งยุคแห่งวานิช ได้แต่ตั้งให้เขาเป็นศาสตราจารย์แห่งปาดัวตลอดชีวิต
   ตั้งแแต่นั้นมาเขามอบชีวิตให้แก่การค้นคว้าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เขาได้สร้างสโมสรของวงการวิทยาศาสตร์ และปรัชญา ได้เปิดเผยผลแห่งการสังเกตการณ์ และผลหารทดลองของเขา โดยให้สมาชิกรู้ความลับของแม่เหล็ก และแรงแม่เหล็กของโลก เขาได้อธิบายถึงส่วนประกอบของเข็มทิศ ซึ่งเขาพึ่งประดิษฐ์ขึ้น เขาได้แสดงเครื่องกลสูบน้ำ วิธีการวัดอุณหภมิของอากาศ และเครื่องประดิษฐกรรมที่ประหลาดที่สุด ทำให้สมาชิกซึ่งตื่นเต้นอยู่แล้วในผลงานของเขา ต้องตื้นเต้นยิ่งขึ้น นั่นคือ กล้องโทรทัศน์สำหรับดูดาวซึ่งอยู่แสนไกล
   เจ้ากล้องประหลาดนี่เอง เป็นสิ่งแรกที่จูงไปพบจุดจบด้วยยาพิษ ทั้งๆที่ไข้กำลังจับ นอนอยู่บนเตียง นั่นคือต่อมาเขาฉีกสัญญาที่ทำไว้กับมหาวิทยาลัยปาดัว โดยประสงค์จะกลับไปปีซ่า ซึ่งครั้งหนึ่งที่นั่นเคยไล่เข้าออก แต่ปัจจุบันบางที่เขาคิดว่า คงจะนำเอาความมีชัยเกียรติยศอันสูงส่งที่มีอยู่ไปแพร่ก็ได้ที่สุด เขาก็ได้กลับไปสมประสงค์ แต่เมื่อเขาเข้าไปอยู่ในมหาวิทยาลัยปีซ่า อาราจักรแห่งความเชื่อถือ ลัทธินิยม เขาได้รับสิ่งที่ไม่ขาดคิดไว้เลย เขาต้องเผชิญกับปัญหายุ่งยาก เรื่องลัทธิและปราศจากความเป็นอิสระ จนกระทั่งต้องถูกเรียกตัวไปสาบานต่อหน้าคณะกรรมการศาสนา และถูกประกาศห้ามนำหนังสือที่เขาเขียนขึ้น อันเกี่ยวกับการคัดค้านศาสนาความเชื่องมงายออกเผยแพร่ และท้ายที่สุด เขาถูกจำคุกอีกครั้งหนึ่ง นับเป็นเคราะห์กรรมอย่างหนักของเขาที่เดียว
   แต่ด้วยกำลังใจอันเข้มแข็งของกาลิเลโอนั่น เขายังอุตสาห์เขียนหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ขึ้นอีกเล่มหนึ่ง ลักลอบส่งไปโรงพิมพ์ประเทศฮอลันดา แต่เขาไม่มีโอกาศอ่านหนังสือเล่มนี้เลย ทั้งๆที่เขายังมีชีวิตอยู่ยังไม่ตาย แต่ดวงตาของเขาทั้งสองข้างบอดสนิทเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงได้แต่กอดหนังสือเล่มนั้นอย่างปลื้มปิติ
              เขาพึมพำออกมาด้วยความตื้นตันว่า "หนังสือเล่มนี้ เป็นงานสำคัญยิ่งกว่างานทั้งหลาย เพราะมันเป็นผลงานที่เกิดจากการทุกข์ทรมานอันแสนเข็ญ"
   ดวงตาบอด ความเจ็บป่วยกำลังหนัก เกือบจะหมดเรี่ยวแนง แต่เขาถูกบังคับให้จบชีวิตด้วยยาพิษ ถึงแม้ว่า ก่อนที่เขาจะจิบยาพิษไปจบชีวิตเขา เขายังพูดว่า "...แต่โลกมันเคลื่อนจริงๆ นี่เพื่อน"
   กาลิเลโอ นักคณิตศาสตร์ชื่อดังของโลกถึงแก่กรรมเมื่อ ค.ศ. 1642 รวมอายุได้ 78 ปี
หอเอนเมืองปีซ่าจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกยุคกลาง