วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2559

เมืองที่พระเยซูอาศัยอยู่

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลกและพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ของเรา พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนเราว่ามารดาของพระเยซูคริสต์คือมารีย์ บิดาบนแผ่นดินโลกคือโยเซฟ พระองค์ประสูติในเบธเลเฮม เติบโตในนาซาเร็ธ และทรงทำงานกับโยเซฟผู้เป็นช่างไม้ เมื่อพระชนมายุ 30 พรรษาพระองค์ทรงเริ่มการปฏิบัติศาสนกิจสามปีของการสอน อวยพร และรักษาผู้คนในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงจัดตั้งศาสนจักรและประทาน “อำนาจ” (ลูกา 9:1) แก่เหล่าอัครสาวกเพื่อช่วยเหลืองานของพระองค์
แต่เราหมายถึงอะไรเมื่อเรากล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก พระผู้ไถ่ แต่ละพระนามชี้ให้เห็นความจริงที่ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นหนทางเดียวที่เราจะกลับไปอยู่กับพระบิดาบนสวรรค์ได้ พระเยซูทรงทนทุกขเวทนาและทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อบาปของโลก โดยทรงมอบของประทานแห่งการกลับใจและการให้อภัยแก่บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า โดยพระเมตตาและพระคุณของพระองค์เท่านั้นที่ทุกคนจะรอดได้ 
เมืองที่พระเยซูประสูติ

ประสูติเมื่อ 4 ปีก่อนคริสตกาล ในเมืองนาซาเรธ แคว้นกาลิลี หญิงพรหมจารีคนหนึ่งชื่อมารีย์ ได้หมั้นหมายไว้แล้วกับชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกัน ได้มีทูตสวรรค์กาเบรียลเข้าบ้านมาหามารีย์แล้วว่า “เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู”  ฝ่ายโยเซฟเมื่อทราบว่ามารีย์ตั้งครรภ์แล้ว ก็ไม่คิดจะแพร่งพรายเรื่องนี้ จึงคิดจะถอนหมั้นอย่างลับ ๆ แต่มีทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์” โยเซฟจึงทำตามคำนั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา แต่มิได้สมสู่กับเธอ
ขณะที่มารีย์กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น จักรพรรดิออกัสตัสได้มีรับสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน คนทั้งปวงต่างต้องเดินทางกลับไปขึ้นทะเบียนยังเมืองของตน โยเซฟกับมารีย์จึงต้องเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลีไปยังเมืองของดาวิดเมืองหนึ่งชื่อเบธเลเฮม ในแคว้นยูเดีย เพราะโยเซฟเป็นเชื้อสายของดาวิด เมื่อเขาทั้งสองอยู่ที่นั่น ก็ถึงเวลาที่มารีย์ประสูติ “นางจึงประสูติบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า เพราะว่าไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม”
ต่อมามีทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” โยเซฟจึงพากุมารและมารดาหนีไปยังประเทศอียิปต์ เนื่องจากกษัตริย์เฮโรดทราบว่าได้มีกุมารผู้ที่บังเกิดมาเพื่อจะเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิว และทราบจากบรรดามหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ว่า กุมารนั้นอยู่ที่เบธเลเฮม จึงใช้ให้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหลายในบริเวณนั้นที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา ครั้นเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล เพราะผู้ที่เป็นภัยต่อชีวิตของกุมารนั้นตายแล้ว”  โยเซฟจึงพากุมารกับมารดากลับมาอยู่เมืองนาซาเร็ธ

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2559



โรมิโอ-จูเรียต 



ในเมืองเวโรน่า มีตระกูลขุนนางสองตระกูล: แคปูเล็ด กับ มอนตาคิวสองตระกูลนี้ไม่ถูกกันอย่างยิ่งยวดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษเจอกันเป็นไม่ได้ต้องมีเรื่องแล้วก็มีหนุ่มน้อยนาม โรมิโอ เป็นลูกตระกูลมอนตาคิว
แล้ววันหนึ่งเคาน์ทคาปูเล็ตได้จัดงานเต้นรำขึ้นมา โดยเชิญหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าสวยทุกคนในเมืองมางาน
ใครจะมมาร่วมงานด้วยก็ได้ ยกเว้นคนในตระกูลมอนตาคิว
แล้วเพื่อนๆของโรมิโอชื่อเมอร์คูติโอกับเบนโวลิโอก็ยุให้โรมิโอไปร่วมงานด้วยเพื่อนๆเบื่อโรมิโอที่ไปรักผู้หญิงที่ไม่เคยสนใจตัวเองเลยอยากให้ไปเปิดหูเปิดตาว่าในโลกนี้ก็ยังมีผู้หญิงสวยอีกเยอะแล้วทั้งสามคนก็ไปโดยใส่หน้ากากไปแล้วโรมิโอก็ไปเจ๊อะกับผู้หญิงสวยมากกกกคนนึง แล้วก็ลั่นวาจาเกี้ยวแบบหวานๆแฝงอะไรที่คนมีปัญญาเท่านั้น

เข้าใจ= =แล้วนางก็โต้ตอบ แต่แล้ว ทิบอล์ต หลานฝ่ายคาปูเล็ตจำเสียงโรมิโอได้แล้วก็โมโหว่าเป็นมอนตาคิวกล้ามางานนี้ได้ยังไงแต่ท่านเค้าน์ทคาปูเล็ตยกให้เพราะเป็นงานรื่นเริงแล้วโรมิโอก็ทำตัวเยี่ยงสุภาพบุรุษมาตลอด
แล้วงานนั้นก็เลิกไปโรมิโอมารู้ทีหลังว่าผู้หญิงคนที่ตัวเองคุยด้วยรวมทั้งตกหลุมรักเป็นทายาทตระกูลคาปูเล็ตนาม จูเลียต  จูเลียตเองพอมารู้ว่าชายที่ตัวเองคุยด้วยเปนมอนตาคิวก็ตกใจเพราะตัวเองได้หลงรักเข้าแล้ว
คืนนั้นไม่มีใครนอนหลับจูเลียตไปรำพึงรำพันอยู่ที่ระเบียงถึงโรมิโอบอกว่าตัวเองหลงรักชายคนนี้เพียงใดโดยที่ไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวแอบฟังอยู่แล้วโรมิโอก็ทนไม่ไหวแสดงตัวออกมาโต้ตอบราวกับว่าคำพูดนั้นพูดกับตัวเองแทนที่จะเป็นการรำพึงรำพันคนเดียว  แล้วสองคนก็คุยกัน   สองคนรักกัน แต่สองตระกูลเป็นศัตรูกัน
แล้วเช้าวันต่อมาก็แต่งงานกันด้วยความร่วมมือของบาทหลวงที่ซี้กับโรมิโอ แต่แล้วตอนกลางวันโรมิโอกับเพื่อนๆมีเรื่องกับทิบอล์ต ทิบอล์ตฆ่าเพื่อนคนนึงของโรมิโอแล้วโรมิโอก็ฆ่าทิบอล์ตตายโรมิโอโดนสำเร็จโทษให้ออกไปจากเวโรน่าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ถ้าถูกเจอหลังจากนั้นจะโดนประหาร เพิ่งแต่งงานกันเดี๋ยวนั้นแล้วก็เหมือนจะโดนหย่าเดี๋ยวนั้น
คืนนั้นโรมิโอนอนกับจูเลียต แล้วออกจากเมืองตอนรุ่งสางจากนั้นไม่กี่วัน พ่อจูเลียตก็บังคับให้จูเลียตแต่งงาน
บาทหลวงช่วยให้จูเลียตไม่ต้องแต่งงานซ้ำซ้อนโดยให้ยานอนหลับไปกิน โดยจูเลียตจะถูกพบในห้องเหมือนศพ แต่จะตื่นขึ้นมาในอีก42ชั่วโมง ระหว่างนั้นบาทหลวงจะส่งจดหมายบอกให้โรมิโอรู้แผน แล้วมาช่วยจูเลียตจากหลุมตอนที่ยาหมดฤทธิ์ โรมิโอตื่นขึ้นมาจากฝันดีที่ว่า ตัวเองได้ตายไปแล้ว แล้วจูเลียตก็มาจุมพิตปลุกให้ตื่นจากความตาย
จากนั้นโรมิโอก็กลายเป็นจักรพรรดิ์แล้วอยู่กับจูเลียตอย่างมีความสุขพอตื่นมาก็คิดว่าวันนี้ต้องมีข่าวดีแน่ๆ
แต่ข่าวดีที่ว่าคือข่าวการตายของจูเลียต โรมิโอใจสลาย โลกนี้ไม่น่าอยู่แล้วหากปราศจากจูเลียต ตัวเองซื้อยาพิษจากคนขายยายาจกคนหนึ่งระหว่างทางไปเวโรน่า  ตอนกลางคืนก็ไปถึงหลุมศพของจูเลียตแต่ไปจ๊ะเอ๋กับคนที่จะแต่งงานกับจูเลียตที่มาเยี่ยมหลุมศพจูเลียต สองคนทะเลาะกันแล้วโรมิโอก็ฆ่าเค้าตายโรมิโอไปเจอร่างจูเลียตเย็นชืดนอนอยู่
แล้วก็ตั้งใจว่าจะฝังตัวเองข้างๆหญิงที่ตนเองรัก ก็ดื่มยาพิษ ตอนที่ได้เวลาจูเลียตตื่นจากยานอนหลับจูเลียตตื่นมาเห็นโรมิโอตาย มีขวดยาพิษในมือ ยังคงงง สับสน แล้วพอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็เอามีดของโรมิโอปักท้องตัวเองตายข้างๆชายที่ตนรักแล้วคนก็แห่กันมาเพราะได้ยินเสียงทะเลาะกันของโรมิโอกับคู่แต่งงานของจูเลียตที่ชื่อ เคาน์ท ปาริส
พอเห็นศพสามคนก็งง มีเคาน์ทของทั้งสองตระกูลมาด้วยพอรู้เรื่องทุกอย่างจากบาทหลวงกับจดหมายลาตายให้พ่อแม่ของโรมิโอก็เสียใจ แล้วก็คืนดีกันหลังจากสงครามที่มีมาหลายชั่วอายุคนโดยกว่าจะคืนดีได้ต้องแลกมาด้วยความตายของลูกที่ตัวเองรัก

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2559

เวนิสวาณิช

เวนิสวาณิช (อังกฤษ: The Merchant of Venice)ซึ่งเชื่อว่าแต่งขึ้นในราวปี ค.ศ. 1596-1598     เวนิสวาณิชเป็นบทประพันธ์อันลือชื่อของ วิลเลียม เชกสเปียร์ กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษ แปลเป็นภาษาไทยครั้งแรกโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์แปลเป็นกลอนบทละคร และนำมาเป็นบทเรียนวรรณคดีไทยจัดอยู่ในประเภทละครชวนหัว แต่ต่อมาก็ได้รับการยอมรับให้เป็นวรรณกรรมโรแมนติกในบรรดาผลงานของเช็ค สเปียร์ทั้งหมด เนื่องจากมีฉากรักที่โดดเด่นมาก และความโด่งดังของตัวละคร ไชล็อก

 



The Merchant of Venice ได้แปลเป็นภาษาไทยครั้งแรกโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์แปลเป็นกลอนบทละครในปี พ.ศ. 2459 นอกจากนี้ยังมี เวนิสวาณิช ฉบับการ์ตูน เรียบเรียงโดย ชลลดา ชะบางบอน

 

เรื่องราวเริ่มต้นที่บัสสานิโยชายหนุ่มเชื่อสายผู้ดีแต่ยากจน ซึ่งตกหลุมรักสาวงามนามว่าปอร์เชีย เพื่อต้องการเดินทางไปหานาง เขาจึงมาขอยืมเงินอันโตนิโย 3,000 เหรียญ อันโตนิโยเป็นคนรักเพื่อน แต่ในตอนนั้นทรัพย์สินทั้งหมดอยู่ที่เรือสินค้า ซึ่งจะมาถึงอีกไม่ช้า เขาจึงขอยืมเงินของไชล็อกมาให้บัสสานิโย ไชล็อกซึ่งมีจิตใจคิดร้ายและเกลียดอันโตนิโยมาแต่ต้น ตกลงให้ยืมโดยไม่มีดอกเบี้ย แต่ทำสัญญาว่าหากถึงเวลาถ้าอันโตนิโยไม่สามารถใช้หนี้ได้จะต้องชดใช้โดยการ ให้ไชล็อกเชือดเนื้อหนัก 1 ปอนด์ 

ถ้าหากถึงเวลากำหนดใช้
ท่านมิได้ใช้เงินกู้ไปนั่น
ให้ต้องตามหนังสือคู่มือพลัน
ตัวดิฉันจะขอสิ่งอื่นแทน
ขอมังสังชั่งหนักหนึ่งปอนด์ถ้วน
แล่เอาตามแต่ที่ควร อย่าหวงแหน..






 
ส่วนนางปอร์เชียนั้น บิดาของนางซึ่งตายไปแล้วสั่งให้เลือกคู่โดยการให้ชายที่สมัครเป็นคู่ของนาง เลือกหีบ 3 ใบ ผู้ใดเลือกได้หีบที่มีรูปของนางจะได้แต่งงานกับนาง หีบ 3 ใบได้แก่หีบทอง หีบเงิน และตะกั่ว นางปอร์เชียเป็นหญิงงาม พร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ จึงมีชายมาเลือกหีบหลายราย แต่ มีเพียงบัสสานิโยที่เลือกถูกใบ จึงได้แต่งงานกับนางปอร์เชีย 

ขณะเดียวกันมีจดหมายมาจากอันโตนิโยบอกว่าเรือสินค้าหายในทะเล จึงไม่มีเงินไปใช้หนี้ไชล็อก ขอให้บัสสานิโยดูใจเพื่อนก่อนตาย ซึ่งเมื่อนางปอร์เชียทราบเรื่องก็ยินดีที่จะให้เขาเงินของเธอไปให้อันโตนิโย ใช้หนี้ไชล็อก

เขาเป็นคู่ชีวิตของพี่ยา
คนใจดียิ่งกว่าหาไม่ได้
ทั้งในการบำเรอบำรุงใจ
บ่มิได้หน่ายจิตระอิดระอา


ไชล็อกซึ่งมีใจโหด** ไม่ยอมรับเงินใช้หนี้ไม่ว่าจะกี่เท่าก็ตาม ขณะนั้นนางปอร์เชียซึ่งปลอมตัวเป็นเนติบัณฑิตเข้ามาในศาล นางขอให้ไชล็อกกรุณาแต่ไชล็อกกลับกล่าวว่าจะบังคับกันหรือ และนี่คือคำพูดของปอร์เชีย





The quality of mercy is not strain'd,
It droppeth as the gentle rain from heaven




พระราชนิพนธ์แปลความว่า

อันว่าความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน



และอีกบทหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก คือ


Tell me where is fancy bred,
Or in the heart, or in the head?
How begot, how nourished?
Reply, reply.
It is engender'd in the eyes,
With gazing fed; and fancy dies
In the cradle where it lies.
Let us all ring fancy's knell
I'll begin it,--Ding, dong, bell



พระราชนิพนธ์แปลความว่า

ความเอยความรัก      เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน
เริ่มเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ     หรือเริ่มในสมองตรองจงดี
แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง    อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรที่
ใครถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี     ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย





ตอบเอยตอบถ้อย           เกิดเมื่อเห็นน้องน้อยอย่าสงสัย
ตาประสบตารักสมัครไซร้       เหมือนหนึ่งให้อาหารสำราญครัน
แต่ถ้าแม้สายใจไม่สมัคร          เหมือนฆ่ารักเสียแต่เกิดย่อมอาสัญ,
ได้แต่ชวนเพื่อนยามาพร้อมกัน     ร้องรำพันสงสารรักหนักหนาเอย



 ไม่ว่าอย่างไรไชล็อกก็หายอมไม่ นางปอร์เชียจึงบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ให้แล่เนื้อได้ แต่ห้ามให้มีโลหิตติด และไม่ให้น้ำหนักขาดหรือเกิน

ดังนี้จงเตรียมแล่มังสะไป
แต่โลหิตอย่าให้ไหลแม้สักนิด

อย่าแล่มากหรือน้อยกว่าหนึ่งปอนด์
ถ้าตัดก้อนเนื้อนั้นน้ำหนักผิด
หนักเบาไปแม้แต่สักนิด
ผิดแม้แต่ส่วนมาตราไป

หรือตราชูเอียงไปข้างใดแม้
แต่เพียงเท่าน้ำหนักเส้นเกศา
ยิวจะต้องถูกประหารซึ่งชีวา
และริบสาระสมบัติด้วยทันที.




 

................

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559

เทศกาลไฟประดับเมือง

กทม. เตรียมส่งความสุขเป็นของขวัญคนกรุงเทพฯ หลังทุ่มงบ 39 ล้านบาท จัดไฟประดับตกแต่งบริเวณลานคนเมือง ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วยหลอดไฟแอลอีดี หลอดไฟคริสตัล กว่า 5 ล้านดวง พร้อมเปิดให้บริการ 30 ธันวาคม 2558 

           วันที่ 28 ธันวาคม 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับงานกรุงเทพฯ แสงสีแห่งความสุข ณ ลานคนเมือง ซึ่งเป็นงานที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ใช้งบประมาณ 39 ล้านบาท ในการติดตั้งไฟประดับตกแต่ง บริเวณลานคนเมือง ให้มีความสวยงามเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนกรุงเทพฯ และส่งเสริมการท่องเที่ยวนั้น จะเริ่มเปิดให้บริการประชาชนตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2558 - 31 มกราคม 2559

เทศกาล ปีใหม่
           ทั้งนี้ นางเบญทราย กียปัจจ์ รองโฆษกกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า งานดังกล่าวมีแนวคิดที่ต้องการสื่อถึงเรื่องราวในวรรณคดี โดยมีการประดับด้วยหลอดไฟแอลอีดี หลอดไฟคริสตัล รวมทั้งสิ้น 5 ล้านดวง แบ่งเป็นป้ายแผงไฟ จำนวน 8 แผง, อุโมงค์ไฟความยาว 12 เมตร กว้าง 8 เมตร สูง 5 เมตร จำนวน 2 อุโมงค์ และภายในอุโมงค์จะมีไฟแสดงเป็นรูปผีเสื้อ 3 มิติ พร้อมมีเพลงประกอบการแสดง โดยมีไฮไลท์ของงานเป็น ซุ้มผีเสื้อ คริสตัล นับหมื่นตัวพร้อมไฟระบบ 3 มิติ 

เทศกาล ปีใหม่
 
           นอกจากนี้ในงานยังมีกิจกรรมเช็กอินผ่านระบบโซเชียลเพื่อส่งภาพถ่ายกับไฟประดับตกแต่งลงประกวดชิงรางวัล โดยกรุงเทพมหานครจะเปิดไฟให้ประชาชนเที่ยวชมตั้งแต่เวลา 18.00-24.00 น. ยกเว้นในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จะเปิดตลอดคืนจนถึงเช้า

เทศกาล ปีใหม่

เทศกาล ปีใหม่

 วันปีใหม่

 วันปีใหม่

 วันปีใหม่

 วันปีใหม่

 วันปีใหม่

เทศกาล ปีใหม่

เทศกาล ปีใหม่

เทศกาลวันปีใหม่

 ปีใหม่ หรือ วันขึ้นปีใหม่ 2559 หรือ ปีใหม่ภาษาอังกฤษ Happy New Year 2016  ใกล้มาถึงแล้ว วันขึ้นปีใหม่ หลาย ๆ คนคงชอบที่จะได้หยุดหลาย ๆ วัน ว่าแต่ที่หยุดและฉลองปีใหม่กันอยู่ทุกปี แล้วรู้หรือไม่ว่า ประวัติปีใหม่ หรือวันขึ้นปีใหม่ มีความเป็นมาอย่างไร วันนี้เรามีความหมายวันขึ้นปีใหม่ ประวัติวันขึ้นปีใหม่ มาฝาก  
ความหมายของวันขึ้นปีใหม่

          วันขึ้นปีใหม่ ตามความหมายในพจนานุกรมให้ความหมายคำว่า "ปี" หมายถึง เวลาชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน หรือ เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ ดังนั้น "ปีใหม่" จึงหมายถึง การขึ้นรอบใหม่หลังจาก 12 เดือน หรือ 1 ปี

ความเป็นมาของ วันขึ้นปีใหม่

          วันขึ้นปีใหม่ มีประวัติความเป็นมาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยตามความเหมาะสม ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรกเมื่อชาวบาบิโลเนีย เริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทินโดยอาศัยระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือน ก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน เป็น 13 เดือนในทุก ๆ 4 ปี

          ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติก ได้นำการปฏิบัติของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไขอีกหลายคราวเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้น จนถึงสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์ (ประมาณ 46 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อโยซิเยนิส มาปรับปรุงให้หนึ่งปีมี 365 วัน โดยทุก ๆ 4 ปี ให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า อธิกสุรทิน เมื่อเพิ่มให้เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน ให้ทุกๆ 4 ปี แต่วันในปฏิทินก็ยังไม่ค่อยตรงกับฤดูกาลนัก คือเวลาในปฏิทินยาวกว่าปีตามฤดูกาล เป็นเหตุให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทิน

          และในวันที่ 21 มีนาคม ตามปีปฏิทินของทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออก และลับลงตามทิศตะวันตก วันนี้ทั่วโลกจึงมีช่วงเวลาเท่ากับ 12 ชั่วโมงเท่ากัน เรียกว่า วันทิวาราตรีเสมอภาคมีนาคม (Equinox in March) 

          แต่ในปี พ.ศ. 2125 วัน Equinox in March กลับไปเกิดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 21 มีนาคม ดังนั้นพระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 13 จึงทำการปรับปรุงแก้ไขหักวันออกไป 10 วัน จากปีปฏิทิน และให้วันหลังจากวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2125 แทนที่จะเป็นวันที่ 5 ตุลาคม ก็ให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 15 ตุลาคมแทน (ใช้เฉพาะในปี พ.ศ. 2125) ปฏิทินแบบใหม่นี้จึงเรียกว่าปฏิทินเกรกอเรี่ยน จากนั้นได้ปรับปรุงประกาศใช้ วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นของปีเป็นต้นมา

ความเป็นมาวันปีใหม่ในประเทศไทย
          สำหรับวันปีใหม่ในประเทศไทยนั้น แต่เดิมเราถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย ซึ่งตรงกับเดือนมกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับคติแห่งพระพุทธศาสนา ที่ถือช่วงเหมันต์หรือหน้าหนาวเป็นการเริ่มต้นปี ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงไปตามคติพราหมณ์ คือถือเอาวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งตรงกับวันสงกรานต์ ดังนั้นในสมัยโบราณเราจึงถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย

          แต่การนับวันปีใหม่หรือวันสงกรานต์ตามวันทางจันทรคติ เมื่อเทียบกับวันทางสุริยคติ ย่อมคลาดเคลื่อนกันไปในแต่ละปี ดังนั้นในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ปี พ.ศ. 2432 (ร.ศ. 108) ซึ่งตรงกับวันที่ 1 เมษายน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงให้ถือเอาวันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยนับแต่นั้นมา เพื่อวันปีใหม่จะได้ตรงกันทุกปีเมื่อนับทางสุริยคติ (แม้ว่าวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ปีต่อ ๆ มาจะไม่ตรงกับวันที่ 1 เมษายน แล้วก็ตาม) ดังนั้นจึงถือเอาเดือนเมษายนเป็นเดือนแรกของปีนับแต่นั้นมา  อย่างไรก็ดีประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่อยู่

          ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการจึงเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน มักจะไม่มีงานรื่นเริงอะไรมากนักและเห็นสมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก จนแพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อ ๆ มา โดยในปี พ.ศ. 2479 ก็ได้มีการจัดงานปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด มีชื่อทางราชการ "วันตรุษสงกรานต์"


                                 ปีใหม่ วันปีใหม่

เหตุผลเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จาก 1 เมษายน เป็น 1 มกราคม          ต่อมาก็ได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาโดยมี หลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธานคณะกรรมการ และที่ประชุมก็ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2484 ในวันที่ 24 ธันวาคม ในสมัยคณะรัฐบาลของ จอมพล ป. พิบูลสงครามโดยเหตุผลสำคัญก็คือ

           เป็นการไม่ขัดกับหลักพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ

           เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมศาสนาพุทธ

           ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก

           เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย

          ตั้งแต่นั้นมา วันขึ้นปีใหม่ของไทยจึงตรงกับวันที่ 1 มกราคมของทุกปี เหมือนดังเช่นวันขึ้นปีใหม่ของประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก

สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก ต้องไปสัมผัสให้ได้สักครั้ง


1. แคปพาโดเชีย (Cappadocia) ประเทศตุรกี

สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

          ตั้งอยู่บนที่ราบภาคกลางอนาโตเลีย ครอบคลุมพื้นที่ในหลายเมืองของประเทศตุรกี ได้แก่  Aksaray, Nevsehir, Nigde, Kayseri และ Kirsehir เป็นพื้นที่ที่มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม หินภูเขาไฟถูกลม แสงแดด และน้ำฝนกัดเซาะมาเป็นเวลาหลายพันปี จนมีรูปร่างที่สวยงามแปลกตาคล้ายกับเห็ด ซึ่งมีบ้านเรือนของชนเผ่าในยุคก่อนที่มีลักษณะการสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ตั้งอยู่ภายในแท่งหินภูเขาไฟเหล่านั้น เป็นความมหัศจรรย์ที่ทำให้แคปพาโดเชียได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1985 กิจกรรมที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดก็คือ การขึ้นบอลลูนเพื่อชมความงดงามของพื้นที่แห่งนี้ในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน อัตราค่าใช้บริการอยู่ที่คนละ 160 ยูโร (ประมาณ 6,063 บาท *ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง) รายละเอียดเพิ่มเติม Cappadociaturkey (ขอขอบคุณข้อมูลจาก unesco)

          2. แอนเทอโลป แคนยอน (Antelope Canyon) รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา
สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

          ตั้งอยู่ที่ชานเมืองเพจ (Page) รัฐแอริโซนา เป็นพื้นที่ภูเขาหินทรายที่ถูกกัดกร่อนโดยลม แสงแดด และน้ำมาหลายพันปี จนทำให้มีรูปร่างที่แปลกตา แต่สวยงามจนน่าอัศจรรย์ ชื่อของแคนยอนแห่งนี้ได้มาจากที่ในยุคหนึ่งของที่นี่มีละมั่งอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันหลงเหลือไว้เพียงหุบเขาหินทรายที่งดงามเท่านั้น จุดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดก็คือ Corkscrew ซึ่งเป็นกำแพงที่สูงประมาณ 120 ฟุต รอบด้านเป็นลวดลายของชั้นหินที่ซ้อนกันไปมาอย่างสวยงาม ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเข้าชมคือ ในช่วงบ่ายจนถึงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เพราะแสงอาทิตย์จะส่องสะท้อนทั้งพื้นที่ให้เป็นสีน้ำตาลทอง เป็นภาพที่งดงามจนอยากจะหยุดเวลาไว้เลยทีเดียว (ขอขอบคุณข้อมูลจากDiscoveramerica)


          3. ประตูสู่นรก (The door to hell) ประเทศเติร์กเมนิสถาน

สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

          อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสุดบันลือโลก ตั้งอยู่ในประเทศเติร์กเมนิสถาน The door to hell เป็นหลุมไฟขนาดมหึมาที่อยู่กลางทะเลทราย Karakum ซึ่งเกิดจากการที่นักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียตเข้าไปทำการค้นหาแหล่งพลังงานธรรมชาติในปี ค.ศ. 1971 แล้วค้นพบว่าพื้นที่แห่งนี้มีน้ำมัน จึงได้ทำการขุดเจาะ แต่ด้วยความที่หน้าดินของพื้นที่บริเวณนั้นบางเบา จึงทำให้หน้าดินถล่มลงไปเป็นหลุมกว้าง บริเวณใต้ดินมีก๊าซมีเทนจำนวนมาก จึงทำให้เกิดไฟลุกไหม้ทั่วทั้งหลุม และยังคงลุกโชนมาอย่างต่อเนื่องตลอด 40 กว่าปีที่ผ่านมา หลุมดังกล่าวนี้มีขนาดความกว้างรอบหลุมมากถึง 70 เมตร และลึกถึง 20 เมตร ซึ่งเป็นขนาดที่ใหญ่มาก จึงทำให้ที่แห่งนี้ได้รับฉายาว่า "ประตูสู่นรก" (ขอขอบคุณข้อมูลจาก Sometimes-Interesting)


          4. ทะเลเกลือซาลาร์ เดอ อูยูนี ประเทศโบลิเวีย

สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

          ทะเลเกลือซาลาร์ เดอ อูยูนี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศโบลิเวีย เป็นนาเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่มากถึง 4,086 ตารางไมล์ (10,582 ตารางกิโลเมตร) เมื่อถึงฤดูกาลที่ฝนมาเยี่ยมเยือน ที่แห่งนี้จะชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำใสที่ปกคลุมผลึกเกลือ ซึ่งสามารถส่องสะท้อนท้องฟ้าได้สวยงามราวกับกระจก จึงทำให้ช่างภาพมืออาชีพและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต้องมาถ่ายภาพนาเกลือแห่งนี้กันสักครั้งในชีวิต (ขอขอบคุณข้อมูลจาก Beautifulworld)


          5. อุทยานแห่งชาติเดธวัลเลย์ (Death Valley National Park) รัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา

สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

          พื้นที่ของอุทยานคลอบคลุมพื้นที่ของทั้งรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐเนวาดา เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล มีความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างสุดขั้ว มีความแห้งแล้งและมักจะร้อนมากในช่วงฤดูร้อน ที่ยอดเขาสูงสุดในอุทยานมักจะมีหิมะปกคลุมในช่วงฤดูหนาว มีพายุหนักมากในช่วงหน้าฝน ซึ่งทำให้มีทุ่งดอกไม้ที่งดงามในอุทยานสิ่งที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดก็คือ "ทะเลเกลือขนาดใหญ่" ครอบคลุมพื้นที่มากถึง 200 ตารางไมล์ ในช่วงหน้าร้อนที่น้ำระเหยออกไปหมด ก็จะหลงเหลือเพียงผลึกเกลือสีขาวสะอาดบนพื้นดิน ต้นไม้ต่าง ๆ ผลัดใบจนเหลือแต่กิ่งก้าน เป็นภาพที่สะท้อนคำว่า Death Valley ได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีเนินทรายรูปทรงสวยงามเป็นจุดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกด้วย (ขอขอบคุณข้อมูลจาก NPS)


          6. หน้าผาโมเฮอร์ (Cliffs of Moher) ประเทศไอร์แลนด์
สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

          ในทุก ๆ ปีนักท่องเที่ยวมากกว่าหนึ่งล้านคนมุ่งตรงไปที่หน้าผาโมเฮอร์ เพื่อชมความสวยงามของพื้นที่แห่งนี้ หน้าผาโมเฮอร์เป็นพื้นที่ศึกษาทางธรณีวิทยามีระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร ตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของคันทรี แคลร์ ในทางตะวันตกของประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งจากการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์พบว่าชั้นหินบริเวณหน้าผาแห่งนี้มีอายุมากกว่า 300 ล้านปี มีลักษณะเป็นหินทราย จึงถูกคลื่นและลมทะเลกัดเซาะเรื่อยมา จนกลายเป็นหน้าผาริมทะเลที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งบริเวณหน้าผาจะเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่ แซมด้วยดอกไม้ป่านานาพรรณหลากสีสัน ในวันที่ฟ้าเปิดสามารถมองเห็นเกาะใกล้เคียงได้อย่างชัดเจน เป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญที่ต้องไปให้ได้เมื่อไปเยือนยุโรป (ขอขอบคุณข้อมูลจาก Cliffsofmoher)


          7. บ่อน้ำพุร้อนแกรนด์พรีสเมติก (Grand Prismatic Spring) อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน สหรัฐอเมริกา

สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

          ตั้งอยู่ใน Midway Geyser Basin ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ปากบ่อน้ำพุร้อนมีความกว้างประมาณ 112.8 เมตร และลึกถึง 37 เมตร อุณหภูมิของน้ำภายในบ่ออยู่ที่ประมาณ 147-188 องศาฟาเรนไฮต์ ไม่ใช่เพียงแค่เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดเท่านั้น แต่แกรนด์พรีสเมติกยังเป็นบ่อน้ำพุร้อนที่สวยที่สุดในโลกอีกด้วย เพราะสีสันของน้ำจะไล่ไปตั้งแต่สีฟ้าเข้มจากตรงกลางบ่อแล้วค่อย ๆ อ่อนลงจนถึงขอบบ่อ ซึ่งแพลงตอนและสาหร่ายที่อยู่บริเวณขอบบ่อทำให้เกิดสีเหลืองอ่อนไล่ไปจนถึงน้ำตาลล้อมรอบบ่อ ตัดกับสีฟ้าของน้ำได้อย่างสวยงาม หากมองจากทางอากาศจะเห็นความงดงามของบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน (ขอขอบคุณข้อมูลจาก nps และ yellowstonenationalpark


          8.  ถ้ำน้ำแข็งเมนเดนฮอลล์ (Mendenhall Ice Caves) รัฐอลาสก้า สหรัฐอเมริกา

สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

          ห่างจากตัวเมืองจูโน รัฐอลาสก้า ไปทางตะวันออกเฉียงใต้เพียง 12 ไมล์ ก็จะได้พบกับธารน้ำแข็งเมนเดนฮอลล์ เป็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่อยู่ในหุบเขาเมนเดนฮอลล์ ซึ่งภายในธารน้ำแข็งแห่งนี้นี่เองที่ได้ซ่อนความงดงามของธรรมชาติไว้ นั่นก็คือ "ถ้ำน้ำแข็งเมนเดนฮอลล์" ที่ภายในถ้ำมีสีฟ้าใสสะอาดราวกับคริสตัล การเดินทางเข้าไปยังถ้ำแห่งนี้ต้องพายเรือคายักเข้าไปเท่านั้น แต่เมื่อเข้าไปเห็นความสวยงามภายในแล้วจะหายเหนื่อยทันที นอกจากเพดานและผนังที่เป็นน้ำแข็งบริสุทธิ์แล้ว บริเวณพื้นช่วงหนึ่งภายในถ้ำยังมีสายน้ำเล็ก ๆ ไหลผ่านหินในพื้นถ้ำอีกด้วย สวยและมหัศจรรย์จนคุณแทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีที่แบบนี้อยู่บนโลกใบนี้ (ขอขอบคุณข้อมูลจาก atlasobscura และ traveljuneau)



          9. เมืองเก่าคราโค (Craco) ประเทศอิตาลี

สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

          ตั้งอยู่บนภูเขาสูงในเมือง Matera ภูมิภาค Basilicata ของประเทศอิตาลี ห่างจากอ่าว Taranto เพียงแค่ 40 กิโลเมตรเท่านั้น บริเวณตัวเมืองล้อมรอบไปด้วยทัศนียภาพของภูเขาน้อยใหญ่ บ้านเรือนสร้างขึ้นจากหิน เรียงรายต่อกันอย่างสวยงามบนหน้าผาภูเขาสูง จึงทำให้มันกลายไปเป็นฉากสำคัญของภาพยนตร์ชื่อดัง อาทิ King David (1985) และ Passion of the Christ (2004) ชาวเมืองอพยพออกจากหมู่บ้านในช่วงปี ค.ศ. 1963 ด้วยปัญหาการทำเกษตรกรรมที่ซบเซาและที่หนักที่สุดคือแผ่นดินไหว จึงทำให้เมืองแห่งนี้กลายเป็นเมืองร้างนับตั้งแต่นั้น (ขอขอบคุณข้อมูลจาก whenonearth และsometimes-interesting)


          10. นครวัด เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา

สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

          สถาปัตยกรรมทางวัฒนธรรมที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรขอม ในช่วงศตวรรษที่ 9-15 มีพื้นที่ทั้งหมดราว 400 ตารางกิโลเมตร ปราสาทนครวัดล้อมรอบด้วยคูน้ำ คล้ายกับให้เป็นเขาพระสุเมรุ ตัวปราสาทมีลักษณะเป็นปราสาท 5 ยอด สร้างขึ้นจากก้อนหินขนาดมหึมา เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ยังคงเป็นคำถามว่าในสมัยนั้นซึ่งยังไม่มีเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ที่ทันสมัย พวกเขาก่อสร้างปราสาทแห่งนี้กันได้อย่างไร นอกจากนี้บนผนังรอบ ๆ ตัวปราสาทยังเต็มไปด้วยภาพแกะสลักของนางอัปสร ซึ่งมีลวดลายที่อ่อนช้อย สวยงาม ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1992  (ขอขอบคุณข้อมูลจากunesco และ tourismcambodia


          11. หุบเขาช็อกโกแลต เกาะ Bohol ประเทศฟิลิปปินส์

สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

          หุบเขาช็อกโกแลต เป็นหุบเขาที่มีภูเขามากกว่า 1,000 ลูก ซึ่งมีรูปทรงแปลกตา เรียงสลับซับซ้อนกันไปไกลสุดลูกหูลูกตา ภูเขาแต่ละลูกไม่ได้สูงมาก จากพื้นดินจนถึงยอดสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 30-50 เมตร ลูกที่สูงที่สุดมีความสูง 120 เมตร ยามฤดูใบไม้ร่วงภูเขาทุกลูกจะมีสีน้ำตาล เมื่อมองไกล ๆ จึงมีลักษณะคล้ายกับสีของช็อกโกแลต เป็นที่มาของชื่อหุบเขาแห่งนี้ จากการศึกษาทางธรณีวิทยาสันนิษฐานว่าภูเขาเหล่านี้เกิดจากการก่อตัวของหินปูนในทะเล ซึ่งเมื่อมันอยู่รวมกันจำนวนมาก จึงเกิดเป็นทัศนียภาพที่สวยงาม แปลกตา (ขอขอบคุณข้อมูลจาก Chocolatehills)


          12. ทุ่งดอกทิวลิปเคอเคนฮอฟ ประเทศเนเธอร์แลนด์
สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

          ความมหัศจรรย์ของสีสันของดอกทิวลิปที่บานสะพรั่งทั่วทั้งพื้นที่การเพาะปลูก ภายในสวนเคอเคนฮอฟ (Keukenhof) ส่งผลให้ที่แห่งนี้เป็นดินแดนในฝันของคนทั่วโลก สวนแห่งนี้มีพื้นที่ทั้งหมดมากกว่า 200 เฮกตาร์ มีการปลูกดอกทิวลิปมายาวนานถึง 66 ปี ในทุก ๆ ปีจะมีเทศกาลชมทุ่งทิวลิป ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงตามการบานของดอกทิวทิป แต่สีสันของดอกทิวทิปก็ทำเอาผู้เข้าชมประทับใจไม่รู้ลืม (ขอขอบคุณข้อมูลจาก Keukenhof)


          13. แกรนด์แคนยอน รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา

สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

          แกรนด์แคนยอนเป็นดินแดนแห่งหุบเขาที่มีลักษณะสวยงามแปลกตา ซึ่งเกิดจากการที่ลม แสงแดด และฝน กัดเซาะจนทำให้มีลักษณะเป็นหุบเหว มีลวดลายบนพื้นหินที่สวยงาม มีความยาวประมาณ 446 กิโลเมตร กว้างประมาณ 29 กิโลเมตร มีความลึกจากพื้นดินจนถึงยอดหุบเขาประมาณ 1.6 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวนิยมที่จะเข้าไปเที่ยวชมแกรนด์แคนยอนในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน เพราะแสงสีทองของพระอาทิตย์จะสะท้อนกับหุบเหวต่าง ๆ ทำให้หุบเขากลายเป็นสีทองด้วยเช่นกันและสามารถเห็นลวดลายบนหินได้อย่างชัดเจน (ขอขอบคุณข้อมูลจาก nps)


          14. ชิงเคว เทเร (Cinque Terre) ประเทศอิตาลี

สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

         ชิงเคว เทเร ประกอบไปด้วย 5 หมู่บ้าน คือ Monterosso, Vernazza, Corniglia, Manarola และ Riomaggiore ซึ่งแต่ละหมู่บ้านจะตั้งอยู่บนหน้าผา Ligurian ตามแนวชายฝั่งทางด้านตะวันตกของประเทศอิตาลี ลักษณะของบ้านเรือนที่นี่จะมีสีสันสดใส ตั้งเรียงรายลดหลั่นกันลงมาตามแนวภูเขาจรดผืนทะเล ชาวบ้านยังคงใช้ชีวิตเรียบง่าย ประกอบอาชีพทำประมงและทำไร่องุ่นเพื่อนำไปทำไวน์ บางหมู่บ้านสามารถเดินเชื่อมต่อถึงกันได้ด้วยทางเดินเล็ก ๆ ริมฝั่งทะเล ภายในแต่ละหมู่บ้านจะมีบรรยากาศเงียบสงบ นักท่องเที่ยวสามารถดื่มด่ำกับความงดงามของบ้านเรือนริมทะเลที่งดงามแปลกตา พร้อมทั้งลิ้มรสอาหารพื้นเมืองและวิถีชีวิตของคนอิตาลีที่แท้จริง (ขอขอบคุณข้อมูลจาก Inqueterre.a-turist)


          15. ธารน้ำแข็งเปริโต โมเรโน (Perito Moreno Glacier) ประเทศอาร์เจนตินา

สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

          เป็นอีกหนึ่งธารน้ำแข็งที่สวยที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอุทยานแห่งชาติ Los Glaciares เป็นพื้นที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากเพราะมันมีการขยับขยายตลอดเวลา มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 600,000 เฮกตาร์ โดยธารน้ำแข็งที่อยู่เหนือทะเลสาบด้านหน้าสุดนั้นมีความสูงประมาณ 60 เมตร ยาวประมาณ 5 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่มาก ปัญหาของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกทำให้ธารน้ำแข็งถล่มลงในทุก ๆ ปี แต่ยังคงมีความสวยงามไม่เลือนหาย (ขอขอบคุณข้อมูลจาก Losglaciares)


          16. ทะเลสาบ Abraham รัฐอัลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา

สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

          ทะเลสาบ Abraham เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในรัฐอัลเบอร์ตา เกิดจากการสร้างเขื่อนในแม่น้ำ Saskatchewan ทางตะวันตกของรัฐอัลเบอร์ตา ซึ่งด้านหลังของทะเลสาบจะเป็นแนวเทือกเขาร็อคกี้เมาน์เทนที่งดงาม รอบ ๆ ทะเลสาบเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพรรณ น้ำในทะเลสาบมีสีฟ้าสดใสสวยงาม พร้อมทั้งอุดมไปด้วยสัตว์น้ำหลากหลายชนิด ในฤดูหนาวน้ำทั้งทะเลสาบจะกลายเป็นน้ำแข็ง แต่มีความมหัศจรรย์ที่มันจะมีฟองอากาศเกิดขึ้นในน้ำแข็ง ซึ่งเกิดจากก๊าซมีเทนใต้พื้นดินของทะเลสาบนั่นเอง (ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lakelubbers)


          17. ทะเลสาบ Yamdrok Yumtso เขตปกครองตนเองทิเบต

สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

           ทะเลสาบ Yamdrok Yumtso ทอดตัวยาวอยู่ทางใต้ของแม่น้ำ Yarlung Tsangpo ในภูมิภาค Shannan ซึ่งเป็นหนึ่งในสามทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของทิเบต และเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเทือกเขาหิมาลัย มีพื้นที่ประมาณ 638 ตารางกิโลเมตร ความสวยงามของทะเลสาบแห่งนี้คือ น้ำในทะเลสาบจะเป็นสีฟ้าใส สีเขียว สลับกันไปตามสภาพภูมิอากาศ ล้อมรอบไปด้วยหุบเขาอันอุดมสมบูรณ์ มีอากาศบริสุทธิ์ จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนที่แห่งนี้ต้องมนตร์เสน่ห์ หลงรักทะเลสาบ Yamdrok Yumtso ไปตาม ๆ กัน (ขอขอบคุณข้อมูลจาก  Travelchinaguide)

 
          18.  ภูเขาโรไรมา (Mount Roraima) ประเทศเวเนซุเอลา, บราซิล และกายอานา

สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

          เป็นภูเขาที่มีความเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ระหว่างพรมแดนประเทศเวเนซุเอลา ประเทศบราซิล และประเทศกายอานา ในทวีปอเมริกาใต้ ภูเขาลูกนี้ชื่อเรียกอื่น ๆ คือ Roraima Tepui  และ Cerro Roraima มีลักษณะเป็นภูเขารูปทรงสามเหลี่ยม ด้านข้างทั้งหมดเป็นหน้าผาตัดทำมุม 90 องศา บริเวณฐานของภูเขาเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี เป็นภูเขาที่ตั้งโดดเด่น สง่างาม โดยมีความสูงถึง 2,772 เมตร หากมองจากอากาศในวันที่หมอกมากจะเห็นเพียงบริเวณด้านบนของภูเขาโผล่พ้นสายหมอกขึ้นมาเท่านั้น สวยงามราวกับสวรรค์บนฟ้าเลยทีเดียว (ขอขอบคุณข้อมูลจากTourismontheedge)


          19. ทุ่งหญ้า Mongolian-Manchurian ตอนเหนือของประเทศจีน

          ทุ่งหญ้า Mongolian-Manchurian อยู่บริเวณชายแดนทางตอนเหนือของประเทศจีนไล่ยาวไปจนถึงป่าทางตอนใต้ของประเทศไซบีเรีย มีพื้นที่ทั้งหมดราว 342,600 ตารางไมล์ เป็นทุ่งหญ้าสีเขียวที่มักจะมีดอกไม้พื้นเมืองขึ้นแซมในทุกฤดูกาล อากาศจะอบอุ่นในช่วงหน้าร้อน จะมีลมแรงและหนาวมากในช่วงหน้าหนาว ซึ่งบริเวณทุ่งหญ้าจะมีละมั่งมองโกเลียอาศัยอยู่ พร้อมทั้งสัตว์ป่าอื่น ๆ อีกหลากหลายชนิด (ขอขอบคุณข้อมูลจาก Worldwildlife)


          20. หน้าผา Trolltunga ประเทศนอร์เวย์

สุดอลังการ 20 สถานที่ทั่วโลก

          Trolltunga  เป็นหนึ่งในหน้าผาที่มีความหวาดเสียวที่สุดในโลก แต่ก็เป็นหน้าผาที่มีทัศนียภาพที่งดงามที่สุดในโลกเช่นกัน หน้าผาแห่งนี้มีลักษณะเป็นแผ่นหินบางเฉียบยื่นออกไปในอากาศคล้ายกับลิ้น ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลมากถึง 1,100 เมตร และลอยตัวอยู่เหนือทะเลสาบ Ringedalsvatnet ใน Skjeggedal สูงกว่า 700 เมตร การที่จะขึ้นไปยังหน้าผา Trolltunga ต้องใช้การเดินเท้าขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง แต่ทัศนียภาพที่สวยงามสุดอลังการของภูเขาและทะเลสาบที่สามารถมองได้จากด้านบน ก็ถือว่าคุ้มค่ากับความเหนื่อย ฤดูกาลที่เหมาะสมที่สุดในการเยือนหน้าผาแห่งนี้คือช่วงกลางเดือนมิถุนายนจนถึงกลางเดือนกันยายน (ขอขอบคุณข้อมูลจากVisitnorway)