แคว้นกอล
เวอร์ซินเกโทริกยอมจำนนต่อจูเลียส ซีซาร์
ชาวเคลท์ (Celts) อาศัยอยู่ในฝรั่งเศสและดินแดนรอบข้างมานานตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งชาวโรมันเรียกพวกเคลท์ว่า
กอล และเรียกดินแดนของพวกเขาว่าแคว้นกอล เมืองต่างๆในฝรั่งเศสปัจจุบันก็มีรากฐานมาจากชาวโกล เช่น เมืองลูเทเทีย (
ปารีส) เบอร์ดิกาลา (
บอร์โดซ์) โทโลซา (
ตูลูส) ส่วนนักเดินเรือชาวกรีกก็ตั้งอาณานิคมที่มาซซาเลีย (
มาร์เซย) และนิคาเอีย (
นีซ) ใน 390 ปีก่อนค.ศ.
เบรนนุสผู้นำเผ่าโกลนำทัพบุกทำลายกรุงโรม ทำให้ชาวโรมันมีความแค้นฟังใจกับชาวโกล
ใน 58 ปีก่อนค.ศ.
จูเลียส ซีซาร์ ได้เป็นกงสุลแห่งโกล (ผู้ครองแคว้นกอล) จึงทำทัพเข้าพิชิตแคว้นกอลทั้งหมดได้เมื่อ 52 ปีก่อนvค.ศ. ใน
ยุทธการที่อเลเซีย ซึ่งผู้นำเผ่ากอล
เวอร์ซินเกโทริก (Vercingetorix) พ่ายแพ้และยอมจำนน แคว้นกอลและชาวกอลจึงตกอยู่ภายใต้การปกครองของ
โรมัน
ชนแฟรงค์
เมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลาย สยาคเรียส (Syagrius) ปกครองแคว้น โซอิสสัน (Soissons) แต่ถูก
โคลวิส (Clovis) ผู้นำเผ่าซาเลียน แฟรงก์ (Salian Franks ยังไม่ออกเสียงแบบฝรั่งเศส) ข้าม
แม่น้ำไรน์มายึดอาณาจักรของซยากริอุสใน
ค.ศ. 486 ใน
ค.ศ. 496 โคลวิสเข้ารีต
คริสต์ศาสนาเพื่อให้สามารถปกครองประชาชนที่เป็นคริสเตียนได้ ใน
ค.ศ. 507 โคลวิสชนะ
อลาริกที่2 กษัตริย์ของวิชิกอธ และยึดแคว้นอากีแตนขับไล่พวกวิชิกอธไป
สเปน โคลวิสจึงเป็นปฐมกษัตริย์แห่ง
ราชวงศ์เมรอแว็งเฌียง (Merovingian) มีศูนย์กลางที่ปารีส แต่ประเพญีของพวกแฟรงก์จะต้องแบ่งสมบัติให้บุตรเท่ากัน ดังนั้นอาณาจักรแฟรงก์จึงแตกเป็นสี่แคว้นคือ เนิสเตรีย (ปารีสศูนย์กลาง) ออสตราเซีย (
แรงส์ศูนย์กลาง) เบอร์กันดี และอากีแตน
เมื่อาณาจักรแตกแยกราชวงศ์คาโรแลงเจียนเสื่อมอำนาจ ทำให้ชาว
ไวกิงสามารถปล้นสะดมเมืองท่าต่างๆ และได้แคว้น
นอร์มังดีไปครอง บ้านเมืองไม่มีขื่อแป ทำให้เคานท์แห่งปารีสกุมอำนาจแทนที่ราชวงศ์คาโรแลงเจียน แต่ก็เฉพาะในกรุงปารีสเท่านั้น ตามท้องที่ต่างๆ เมื่อพบว่ากษัตริย์ไม่สามารถปกป้องพวกตนจากการคุกคามของไวกิ้งได้ จึงหันไปพึ่งขุนนางท้องถิ่น เป็นเหตุให้
ระบบศักดินาสวามิภักดิ์เรืองอำนาจ บรรดาเจ้าครองแคว้นพากันตั้งตนเป็นใหญ่ โดยที่เคานท์แห่งปารีส ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ
ราชวงศ์กาเปเซียง (Capetian) มีอำนาจอยู่แค่บริเวณปารีสเท่านั้น
สมัยกลาง
อาณาจักรฝรั่งเศสสมัยพระเจ้าอองรีที่1
ในค.ศ. 987 ราชวงศ์คาโรแลงเจียนหมดสิ้นไปในอาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก
อูก กาแป (Hugh Capet) เคานท์แห่งปารีส ได้ขึ้นครองราชย์นับเป็นปฐมกษัตริย์ฝรั่งเศส ราชวงศ์กาเปเชียง แต่อาณาจักรที่พระเจ้าอุคต้องปกครองนั้นเต็มไปด้วยความแตกแยกบรรดาขุนนางต่างๆทำสงครามกับเองเพื่อแย่งชิงดินแดนหรือแม้แต่กบฏต่อพระเจ้าอุคที่ปารีส อำนาจของกษัตริย์ฝรั่งเศสนั้นจึงน้อยนิดแทบทำอะไรไม่ได้ มีอำนาจเฉพาะบริเวณปารีสเท่านั้น
ในค.ศ. 1023
โรแบร์ที่ 2 พระโอรสของอุค กาเป ได้เจรจาสงบศึกกับ
จักรพรรดิเฮนรีที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก) ว่าจะไม่อ้างสิทธิของกันและกันอีก พระเจ้าโรแบร์ที่ 2 ทรงได้รับสมยาว่า ผู้เคร่งศาสนา เพราะทรงสร้างสันติภาพในหมู่ขุนนาง ใช้วิธีทางทูตมากกว่าสงครามเรียกว่า The Peace and Truce of God และยังทรงให้มีการปรับปรุงวินัยของบาทหลวงเสียใหม่ตามหลักการของพวกเบเนดิกทีน เรียกว่า การปฏิรูปกลูนีอัก (Cluniac Reforms)
อองรีที่ 1 พระโอรสของโรแบร์ที่ 2 อำนาจของพระองค์ถูกลดอย่างมากเพราะขุนนางต่างๆแผ่ขยายดินแดน โดยเฉพาะ
ดยุควิลเลียมแห่งนอร์มังดี บุกยึดอาณาจักรอังกฤษใน
ค.ศ. 1066 และทางใต้ดยุคแห่งอากีแตนได้ดินแดนในฝรั่งเศสไปครึ่งประเทศ
จนในรัชสมัยของ
พระเจ้าหลุยส์ที่ 6 อำนาจของกษัตริย์ฝรั่งเศสจึงเริ่มจะแผ่ขยาย เพราะบรรดาขุนนางต่างใช้กำลังไปมากใน
สงครามครูเสด ทำให้เริ่มจะอ่อนแอ พระเจ้าหลุยส์ที่6 ทรงปราบปรามบารอนโจร (Robber Barons) ที่คอยปล้มสะดมเรือต่างๆและมีอำนาจในปารีส ทรงทุบทำลายปราสาทของบารอนพวกนี้ และทรงดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวกับพวกขุนนาง ขุนนางคนใดไม่เชื่อฟังจะถูกยึดที่ดินหรือส่งกำลังไปปราบปราม
ดินแดนของอังกฤษบนผืนแผ่นดินฝรั่งเศส
ใน
ค.ศ. 1137 พระเจ้าหลุยส์ที่ 7 ทรงอภิเษกสมรสกับ
เอเลเนอร์แห่งอากีแตน (Eleanor of Aquitaine) บุตรสาวของดยุคแห่งอากีแตนอันกว้างใหญ่ ทำให้ฝรั่งเศสมีสิทธิจะยึดแคว้นใหญ่นี้ได้ ใน
ค.ศ. 1154 เฮนรี พลันตาจาเนต (Henry Plantaganet) ดยุคแห่งอังชู ได้เป็นพระเจ้าเฮนรีที่ 2 แห่งอังกฤษ พระเจ้าหลุยส์ทรงเข้าร่วม
สงครามครูเสดครั้งที่ 2ทำให้ทรงมีความขัดแย้งกับราชินีเอเลเนอร์ ทำให้มีการหย่าขาดจากกันใน
ค.ศ. 1152 เอเลเนอร์แห่งอากีแตนต่อมาอภิเษกกับเฮนรีที่ 2 แห่งอังกฤษ ประจวบเหมาะกับที่ดยุคแห่งอากีแตนสิ้นชีวิต ทำให้อังกฤษได้แคว้นอากีแตนอันกว้างใหญ่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสไปครอง กลายเป็น
จักรวรรดิแองเจวิน (Angevin Empire) ผลคืออังกฤษเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงต่อกษัตริย์ฝรั่งเศส
ดูบทความหลักที่:
สงครามร้อยปี
ใน
ค.ศ. 1324 พระเจ้าชาลส์ที่ 4 สิ้นพระชนม์โดยไม่มีทายาท ทำให้ราชวงศ์กาเปเชียงสายตรงต้องสิ้นสุดลง
พระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษเป็นพระนัดดาของพระเจ้าชาลส์ที่ 4 เป็นพระญาติชายที่ใกล้ชิดที่สุดทางสายพระโลหิต จึงเป็นผู้มีสิทธิจะครองบัลลังก์มากที่สุด แต่ขุนนางฝรั่งเศส ไม่ต้องการให้กษัตริย์อังกฤษมาปกครองฝรั่งเศส จึงอ้าง
กฎบัตรซาลลิคของชนแฟรงก์โบราณว่า การสืบสันติวงศ์จะต้องผ่านทางผู้ชายเท่านั้น และให้ฟิลิปเคานท์แห่งวาลัวส์ (Philip, Count of Valois) ที่สืบเชื้อสายจากพระเจ้าฟิลิปที่ 3 ขึ้นครองราชย์เป็น
พระเจ้าฟิลิปที่ 6 เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์วาลัวส์ (Valois dynasty) ซึ่งเป็นสาขาของราชวงศ์กาเปเชียง ใน
ค.ศ. 1331 พระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 3 ทรงยินยอมที่จะสละสิทธิ์ในบัลลังก์ฝรั่งเศสทั้งมวลแต่ครองแคว้นกาสโคนี ใน
ค.ศ. 1333 พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงทำสงครามกับสกอตแลนด์ ทำให้พระเจ้าฟิลิปที่ 6 ทรงเห็นเป็นโอกาสจึงนำทัพบุกยึดแคว้นกาสโคนี แต่พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงปราบปรามสกอตแลนด์อย่างรวดเร็ว และหันมาตอบโต้พระเจ้าฟิลิปได้ทัน
สงครามร้อยปีเริ่มต้นใน
ค.ศ. 1337 ในตอนแรกทัพเรือฝรั่งเศสสามารถโจมตีเมืองท่าอังกฤษได้หลายที่ แต่ลมก็เปลี่ยนทิศเมื่อทัพเรือฝรั่งเศสถูกทำลายล้างใน
การรบที่สลุยส์ (Sluys) ใน
ค.ศ. 1341ตระกูลดรือซ์แห่งแคว้นบรีตตานีสูญสิ้น พระเจ้าเอ็ดวาร์ดและพระเจ้าฟิลิปจึงสู้รบกันเพื่อให้คนของตนได้ครองแคว้นบรีตตานี ใน
ค.ศ. 1346 พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงสามารถขึ้นบกได้ที่เมืองคัง ในนอร์มังดี เป็นที่ตกใจแก่ชาวฝรั่งเศส พระเจ้าฟิลิปแต่งทัพไปสู้ แต่พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงหลบหนีไปประเทศภาคต่ำ (Low Countries) ทัพฝรั่งเศสตามมาทัน แต่พ่ายแพ้ยับเยินที่
การรบที่เครซี (Crecy) ทำให้พระเจ้าเอ็ดวาร์ดต่อไปยึดเมืองท่าคาเลส์ของฝรั่งเศสและยึดเป็นที่มั่นบนแผ่นดินฝรั่งเศสได้ใน
ค.ศ. 1347
ใน
ค.ศ. 1348 ระหว่างที่ฝรั่งเศสกำลังลุกเป็นไฟด้วยสงคราม
กาฬโรคก็ระบาดมาถึงฝรั่งเศส คร่าชีวิตผู้คนหลายล้าน ทำให้ประชากรฝรั่งเศสลดลงอย่างมาก ทำให้สงครามหยุดชะงัก จนโรคระบาดเริ่มคลี่คลายใน
ค.ศ. 1358 องค์ชายเอ็ดวาร์ด (Edward, the Black Prince) พระโอรสของพระเจ้าเอ็ดวาร์ด บุกอังกฤษจากกาสโคนี ชนะฝรั่งเศสใน
การรบที่ปัวติแยร์ (Poitiers) จับ
พระเจ้าฌองแห่งฝรั่งเศสได้ ด้วยอำนาจของฝรั่งเศสที่อ่อนแอลง ทำให้ตามชนบทไม่มีขื่อแปโจรอาละวาด ทำให้ชาวบ้านก่อจลาจลกันมากมาย พระเจ้าเอ็ดวาร์ดเห็นโอกาสจึงทรงบุกอีกครั้ง แต่ถูก
องค์รัชทายาทแห่งฝรั่งเศสต้านไว้ได้ จนทำสนธิสัญญาบรีติญญี ใน
ค.ศ. 1360 อังกฤษได้อากีแตน บรีตตานีครึ่งนึง คาเลส์
แต่พระเจ้าชาลส์ที่ 5 และ
แบร์ทรันด์ ดู เกอสแคลง (Bertrand du Guesclin) ก็สามารถยึดดินแดนต่างๆคืนได้ในรัชสมัยของพระองค์ เพราะอังกฤษติดพันกับสงครามในสเปน และพระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงสิ้นพระชนม์ใน
ค.ศ. 1377 และองค์ชายเอ็ดวาร์ด
ค.ศ. 1376 แต่ดูเกอสแคลงก็สิ้นชีวิตใน
ค.ศ. 1380 จนทำสัญญาสงบศึกกัน
โยนแห่งอาร์คกู้เมืองออร์เลียงส์
สงครามร้อยปีหยุดยาวเพราะฝรั่งเศสตกอยู่ในสงครามกลางเมืองระหว่างตระกูลอาร์มันญัค (Armagnac) และดยุคแห่งเบอร์กันดี และขอให้อังกฤษช่วย
พระเจ้าเฮนรีที่ 5 แห่งอังกฤษ ก็ทรงนำทัพบุกฝรั่งเศสใน
ค.ศ. 1415 และชนะฝรั่งเศสขาดลอยใน
การรบที่อแกงคูร์ต (Agincourt) ได้ดยุคแห่งเบอร์กันดีมาเป็นพวก และยึดฝรั่งเศสตอนเหนือไว้ได้ทั้งหมดใน
ค.ศ. 1419 พระเจ้าเฮนรีทรงเฝ้า
พระเจ้าชาลส์ที่ 6 แห่งฝรั่งเศสซึ่งทรงพระสติไม่สมประกอบ ทำสัญญาให้พระโอรสพระเจ้าเฮนรีขึ้นครองฝรั่งเศสเมื่อพระเจ้าชาร์ลส์สิ้นพระชนม์ แต่ทัพสกอตแลนต์ก็มาช่วยขัดขวางเอาไว้ เมื่อพระเจ้าชาลส์สิ้นพระชนม์
พระเจ้าเฮนรีที่ 6 แห่งอังกฤษ ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์ฝรั่งเศส แต่ตระกูลอาร์มันญัคยังคงจงรักภัคดีต่อ
องค์รัชทายาทฝรั่งเศส
ใน
ค.ศ. 1428 อังกฤษล้อมเมือง
ออร์เลียงส์ แต่
โยนแห่งอาร์ค (Joan of Arc หรือ Jeanne d'Arc - ชานดาก) เสนอตัวขับไล่ทัพอังกฤษกล่าวว่านางเห็นนิมิตว่าพระเจ้าให้เธอปลดปล่อยฝรั่งเศสจากอังกฤษ จนสามารถขับไล่ทัพอังกฤษออกไปได้ใน
ค.ศ. 1429 และยังสามารถเปิดทางให้องค์รัชทายาทสามารถยึดเมืองแรงส์เพื่อราชาภิเษกพระเจ้าชาลส์ที่ 7 นับเป็นจุดเปลี่ยนในสงครามร้อยปี แต่โยนแห่งอาร์คถูกพวกเบอร์กันดีจับได้และส่งให้อังกฤษ และถูกเผาทั้งเป็น ใน
ค.ศ. 1435 แคว้นเบอร์กันดีหันมาเป็นพวกฝรั่งเศส แม้ฝ่ายอังกฤษจะมีจอห์น ทัลบอต ที่ดุร้าย แต่พระเจ้าชาลส์ที่ 7ก็ทรงสามารถยึดฝรั่งเศสคืนได้เกือบหมดใน
ค.ศ. 1453 (ยกเว้นคาเลส์) ใน
การรบที่คาสตีลโลญ (Castillogne) ซึ่งฝรั่งเศสใช้
ปืนเป็นครั้งแรก เป็นอันสิ้นสุดสงครามร้อยปี
ฟื้นฟูศิลปวิทยาการและสงครามศาสนา
หลังสิ้นสุดสมัยกลางฝรั่งเศสไม่ใช่ดินแดนของขุนนางที่เอามาแปะรวมกันอีกต่อไป แต่เป็นประเทศที่เป็นปึกแผ่นภายใต้กษัตริย์ฝรั่งเศส แต่แคว้นเบอร์กันดีภายใต้
ดยุคชาลส์ผู้แข็งแกร่งก็กำลังเรืองอำนาจอยู่ทางตะวันออก จน
พระเจ้าหลุยส์ที่ 11 ทรงร่วมมือกับ
สมาพันธรัฐสวิส ชนะสงครามกับแคว้นเบอร์กันดี และได้แคว้นเบอร์กันดีมาครอง แต่ดินแดนที่เหลือโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคต่ำตกเป็นของฟิลิปพระโอรสของ
จักรพรรดิแมกซิมิเลียนแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิสิทธิ์
ดูบทความหลักที่:
สงครามอิตาลี
พระเจ้าฟรองซัวที่ 1 ทรงยึดมิลานคืนได้จากสวิส ใน
ค.ศ.1516 จักรพรรดิแมกซิมีเลียนสิ้นพระชนม์ พระเจ้าฟรองซัวหวังจะได้เป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิสิทธิ แต่ตำแหน่งก็ตกเป็นของ
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งสเปน ทำให้พระเจ้าฟรองซัวทรงโกรธแค้นจักรพรรดิชาลส์ ทำให้ทรงหาข้ออ้างบุกเนเปิลส์คืนจากสเปนแต่ไม่เป็นผล และทัพสเปนก็บุกมิลาน พระเจ้าฟรองซัวนำทัพไปป้องกัน แต่พ่ายแพ้และทรงถูกจับไปเมือง
มาดริดใน ค.ศ. 1525 จนเมื่อทรงสัญญาว่าจะไม่บุกอิตาลีอีก และไถ่พระองค์ด้วยเงินมหาศาล พระเจ้าฟรองซัวจึงถูกปล่อยพระองค์
สงครามอิตาลีทำให้กระแสการ
ฟื้นฟูศิลปวิทยาการ เข้าสู่ฝรั่งเศส พระเจ้าฟรองซัวที่ 1 ก็ทรงได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ฟื้นฟูศิลปวิทยาการพระองค์แรก ทรงมีความรู้ในศาสตร์หลายด้าน และทรงนิพนธ์หนังสือหลายฉบับ โดยทรงให้จิตรกรชื่อดัง
ลีโอนาร์โด ดาวินชี ออกแบบ
พระราชวังชองโบด์ที่อลังการเพื่อโอ้อวดจักรพรรดิชาร์ลส์ สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการเกิดวรรณกรรม
ภาษาฝรั่งเศสเป็นครั้งแรก (ตลอดสมัยกลางมีแต่
ภาษาลาติน) พระเจ้าฟรองซัวทรงประกาศให้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ นักเขียนหลายท่าน เช่น
ฟรองซัว ราเบอเลส์ ช่วยกันสร้างสรรค์ภาษาฝรั่งเศสที่สวยงาม ฝรั่งเศสยังมีจิตรกรชื่อดังหลายคนสมัยนี้ เช่น
ชอง ฟูเกต์ และสถาปนิก
ปิแอร์ เลส์โกต์ และ
ชัคส์ กาติแยร์ ยังเดินทางไปสำรวจทวีปอเมริกาอีกด้วย
เหตุการณ์สังหารหมู่วันเซนต์บาร์โธโลมิว
กระแสการปฏิรูปศาสนาในเยอรมนีแผ่อิทธิพลมาถึงฝรั่งเศส โดยลัทธิที่แพร่หลายในฝรั่งเศสคือ
นิกายคัลแวง ของ
ชอง คัลแวง แต่กษัตริย์ฝรั่งเศสทุกพระองค์ทรงยึดมั่นในนิกายคาทอลิก พวกโปรเตสแตนต์ในฝรั่งเศสจึงถูกกวาดล้างอยู่บ่อยครั้ง และถูกตั้งชื่อว่า พวก
อูเกอโนต์ (Huguenots)
พระเจ้าอองรีที่ 2 สิ้นพระชนม์ระหว่างการประลองดาบในการทำสนธิสัญญากาโต-กังเบรซี
พระเจ้าฟรองซัวที่ 2 ครองราชย์แทน พระเจ้าฟรองซัวทรงอภิเษกกับ
ราชินีมารีที่เพิ่งหลบหนีมาจากสกอตแลนด์เพราะถูกยึดอำนาจ พระปิตุลา คือ ดยุคแห่งกีส เข้ามามีอำนาจปกครองบ้านเมือง
ตระกูลกีสเป็นตระกูลที่คาทอลิกจัด ต่อต้านโปรเตสแตนต์ทุกประเภท กดขี่พวกอูเกอโนต์ ใน
ค.ศ. 1560 พระเจ้าฟรองซัวสิ้นพระชนม์
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 9 ขึ้นครองราชย์แต่ยังพระเยาว์ พระนาง
แคทเธอรีน เดอ เมดีชี พระมารดาสำเร็จราชการแทน พระนางทรงพยายามทุกวิถีทางที่จะอยู่รอดท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างตระกูลกีสคาทอลิกจัด และตระกูลบูร์บงอูเกอโนต์ พระนางคัทเทอรีนทรงให้เสรีภาพทางศาสนาแก่พวกอูเกอโนต์ใน
ค.ศ. 1562 เพื่อคานอำนาจตระกูลกีส ตระกูสกีสไม่พอใจกดดันให้พระนางยกเลิกกฤษฎีกา
สงครามศาสนาฝรั่งเศส จึงปะทุขึ้น
แต่
พระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน (ทรงได้ชื่อว่าเคร่งครัดคาทอลิกที่สุดในโลกขณะนั้น) เริ่มสะสมทัพตามชายแดน ทั้งทางสเปนและแคว้นเบอร์กันดี (เป็นของสเปน) ทำให้ฝ่ายอูเกอโนต์ไม่พอใจ จึงทำสงครามอีกครั้ง คราวนี้ประเทศต่างๆในยุโรปเข้าร่วมด้วย ฝ่ายคาทอลิกนำโดยตระกูลกีสและ
ดยุคแห่งอังชูได้พระนางคัทเทอรีนมาเป็นพวก และยังได้พระเจ้าฟิลิปแห่งสเปนและพระสันตปาปาสนับสนุนด้วย ฝ่ายโปรเตสแตนต์นำโดยองค์ชายแห่งกงเดได้พระนางอลิซาเบ็ธที่ 1 แห่งอังกฤษและเจ้าครองแคว้นที่ถือนิกายคัลแวงในเยอรมนี
พระเจ้าอองรีแห่งนาวาร์ หรือพระเจ้าอองรีที่ 4 ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์บูร์บง
พระเจ้าอองรีที่ 3 ขึ้นครองราชย์ใน
ค.ศ. 1575 ทรงผ่อนปรนพวกอูเกอโนต์ ทำให้ดยุคอองรีแห่งกีสไม่พอใจ ตั้งสันนิบาตคาทอลิกภายใต้การสนับสนุนของสเปน กดดันให้พระเจ้าอองรีเลิกสิทธิของพวกอูเกอโนต์ ใน
ค.ศ. 1584 พระอนุชาของพระเจ้าอองรีและรัชทายาทพระองค์เดียว สิ้นพระชนม์ ทำให้บัลลังก์ตกเป็นของพระเจ้าอองรีแห่งนาวาร์ที่เป็นอูเกอโนต์ ใน
ค.ศ. 1584 ดยุคแห่งกีสทำสนธิสัญญากับพระเจ้าฟิลิปแห่งสเปน ว่าสเปนจะช่วยสันนิบาตคาทอลิกอย่างจริงจัง
ใน
ค.ศ. 1588 ชาวปารีสที่คาทอลิกจัด รวมขบวนประท้วงขับไล่พระเจ้าอองรีที่ 3 ออกจากเมือง เพราะทรงผ่อนปรนพวกอูเกอโนต์ ทำให้ตระกูลกีสครองเมืองปารีส พระเจ้าอองรีที่ 3 จึงหลอกล่อให้ดยุคอองรีแห่งกีสมาพบ และสังหาร ทำให้ชาวฝรั่งเศสคาทอลิกโกรธแค้นพระเจ้าอองรี พระเจ้าอองรีที่ 3 ทรงหนีไปหาพระเจ้าอองรีแห่งนาวาร์ มอบบัลลังก์ให้ ทั้งฝ่ายคาทอลิก ที่มีฐานทางเหนือและตะวันออกของประเทศ และฝ่ายโปรเตสแตนต์ ที่มีฐานทางตะวันตกและใต้ ทำสงครามของอองรีทั้งสาม (War of Three Henrys) ในค.ศ. 1589 พระเจ้าอองรีแห่งนาวาร์ทรงชนะพวกคาทอลิกบุกไปถึงทางเหนือ แต่ไม่อาจยึดปารีสได้ จนพระองค์ทรงอุทานว่า
Paris vaut bien une masse. (ปารีสช่างมีค่าเหลือเกิน)ทรงเข้ารีตคาทอลิกใน
ค.ศ. 1593 ชาวปารีสจึงยอมให้เข้าเมืองแต่โดยดี ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าอองรีที่ 4 เป็นปฐมกษัตริย์
ราชวงศ์บูร์บง
สมัยราชวงศ์บูร์บงเป็นสมัยที่ฝรั่งเศสรุ่งโรจน์ พระเจ้าอองรีที่ 4 ทรงส่ง
แซมมวล เดอ ชองแปลง (Samuel de Champlain) ไปตั้งเมือง
คิวเบกและอาณานิคม
แคนาดา ใน
ค.ศ. 1610 พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ครองราชย์แต่ยังพระเยาว์ มี
คาร์ดินัล ริเชอลิเออ (Cardinal Richelieu) สำเร็จราชการแทน คาร์ดินัลริเชอลิเออทำลายล้างอำนาจของพวกอูเกอโนต์ที่ได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้าอองรีที่ 4 ใน
ค.ศ. 1624 เกิด
สงครามสามสิบปีในจักรวรรดิโรมันอันศักดิสิทธิ์ ฝ่าย
สวีเดนเข้าช่วยฝ่ายโปรเตสแตนต์แต่ไม่เป็นผล คาร์ดินัลริเชอลิเออจึงให้ฝรั่งเศสเข้าร่วมรบฝ่ายโปรเตสแตนต์ ทั้งๆที่ฝรั่งเศสและตัวคาร์ดินัลเองเป็นคาทอลิก เพราะต้องการล้มอำนาจของสเปน ทัพฝรั่งเศสชนะสเปนที่โรครัว (
ค.ศ. 1643) และเลนส์ (
ค.ศ. 1648) ในค.ศ. 1643 คาร์ดินัลริเชอลิเออสิ้นชีวิต เกิดกบฏฟรองด์ ที่ต่อต้านอำนาจของกษัตริย์และที่ปรึกษา มีสเปนหนุนหลัง แต่ฝรั่งเศสก็สามารถปราบปรามได้ จนทำ
สนธิสัญญาพีรีนีส ใน
ค.ศ. 1659 ยึดแคว้นรูซิยอง (Roussillon) จากสเปน
ใน
ค.ศ. 1660 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงอภิเษกกับองค์หญิงมาเรีย เธเรซา พระธิดาของ
พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งสเปน ซึ่งพระเจ้าฟิลิปก็ป้องกันการอ้างสิทธิของฝรั่งเศสโดยการให้องค์หญิงมาเรียเธเรซาสละสิทธิ์ในดินแดนของสเปนทุกส่วน โดยมีสินสอด (ฝ่ายหญิงให้ฝ่ายชาย) จำนวนมหาศาลเป็นค่าตอบแทน ใน
ค.ศ. 1661 พระเจ้าหลุยส์ทรงแต่งตั้งให้
ชอง-บาพ์ติสต์ โกลแบร์ต(Jean-Baptiste Colbert) เป็นเสนาบดีคลัง โกลแบร์ตสามารกอบกู้สถานะทางการเงินของฝรั่งเศสที่ใกล้จะล้มละลาย โดยการเก็บภาษีแบบใหม่ ทำให้เงินในพระคลังเพิ่มเป็นสามเท่า เป็นที่มาของความฟุ่มเฟือยในราชสำนักของพระเจ้าหลุยส์ที่แวร์ซาย
ใน
ค.ศ. 1665 พระเจ้าฟิลิปที่ 4 สิ้นพระชนม์
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งสเปนขึ้นครองราชย์แทน แต่พระเจ้าหลุยส์ทรงอ้างว่า กฎเก่าแก่ของ
อาณาจักรดยุคแห่งบราบองต์ (แคว้นหนึ่งในประเทศภาคต่ำ) ว่าแคว้นนี้ต้องตกเป็นของบุตรธิดาของภรรยาคนล่าสุด ไม่ใช่คนแรกสุด ก็คือราชินีมาเรียเธเรซานั่นเอง ดังนั้นพระเจ้าหลุยส์จึงทวงแคว้นนี้คืนแก่พระราชินี เมื่อสเปนไม่ยอมจึงทำ
สงครามขยายดินแดนฝรั่งเศส (War of Devolution) และขณะนั้นเนเธอร์แลนด์กำลังทำสงครามกับอังกฤษ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสตามสัญญาชั่วคราว พระเจ้าหลุยส์ทรงยึดฟลานเดอร์ส (Flanders) และฟรอง-กองเต (Franche-Comté) จากสเปนได้ ทำให้อังกฤษหันไปเข้าข้างเนเธอร์แลนด์เพื่อต้านฝรั่งเศส จนทำสนธิสัญญาเอกซ์-ลา-ชาเปลล์ ใน
ค.ศ. 1668 คืนฟรอง-กองเตไปก่อน
ใน
ค.ศ. 1672 พระเจ้าหลุยส์ทรงหลอกล่อให้พระเจ้าชาร์ลส์แห่งสเปนเข้าเป็นพันธมิตรได้ และประกาศสงครามกับ
เนเธอร์แลนด์ เป็น
สงครามฝรั่งเศส-ฮอลันดา มีอังกฤษเข้าช่วยฝรั่งเศส แต่ฝ่ายเนเธอร์แลนด์ก็ทำสัญญาพันธมิตรกับสเปนได้แทนฝรั่งเศส รวมทั้งจักรพรรดิโรมันอันศักดิสิทธิ์ ฝ่ายอังกฤษสงบศึกกับเนเธอร์แลนด์ใน
ค.ศ. 1647 ทิ้งฝรั่งเศสให้โดดเดี่ยว แต่ทัพฝรั่งเศสก็สามารถเอาชนะทัพผสมของหลายชาติได้ บุกยึดฟรอง-กองเต ทะลุทลวงไปถึงเนเธอร์แลนด์ จนทำสนธิสัญญาไนมีเกน (Nijmegen) ยกฟรอง-กองเตให้ฝรั่งเศส ใน
ค.ศ. 1678
ด้วยความกำกวมของสนธิสัญญาต่างๆของยุโรปในสมัยนั้น พระเจ้าหลุยส์จึงทรงอ้างว่าดินแดนต่างๆที่เคยเป็นของแคว้นที่ฝรั่งเศสยึดมานั้น ต้องตกเป็นของฝรั่งเศสด้วย ทรงตั้งหอรวบรวมดินแดน (Chamber of Reunion) เพื่อใช้วิธีทางกฎหมายเรียกดินแดนต่างๆให้กับฝรั่งเศส ที่จริงแล้วพระเจ้าหลุยส์ทรงต้องการดินแดนเหล่านั้น เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เช่น เมือง
สตราสบูร์ก และ
ลักเซมเบิร์ก
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สุริยราชัน
ทศวรรษที่ 1680 เป็นสมัยเรืองอำนาจของฝรั่งเศสและพระเจ้าหลุยส์
วัฒนธรรมฝรั่งเศสต่างๆกลายเป็นแฟชั่นของยุโรป เอาอย่างความหรูหราที่พระราชวังแวร์ซาย ใน
ค.ศ. 1682 ลา ซาล (La Salle) นักสำรวจตั้งชื่อดินแดน
ลุยเซียนา (Louisiana) ในอเมริกาตามพระนามพระเจ้าหลุยส์ และปีเดียวกันพระเจ้าหลุยส์ทรงประกาศ
นิกายกัลลิกัน (Gallicanism) จำกัดอำนาจพระสันตปาปาในฝรั่งเศส และให้พระเจ้าหลุยส์ทรงปกครององค์การศาสนาด้วยพระองค์เอง ใน
ค.ศ. 1685 ทรงประกาศกฤษฎีกาฟองแตงโบล ยกเลิกกฤษฎีกาแห่งเมืองนังทส์ของพระอัยกาพระเจ้าอองรีที่ 4 เป็นการเลิกเสรีภาพทุกประการของพวกโปรเตสแตนต์ อูเกอโนต์จึงหนีไปอาณานิคมหรืออังกฤษกันหมด
ใน
ค.ศ. 1686 จักรพรรดิโรมันอันศักดิสิทธิ์และเจ้าเมืองเยอรมันต่างๆเล็งเห็นถึงการขยายอำนาจของฝรั่งเศส จึงตั้งสันนิบาตออกซ์บูร์ก (League of Augsburg)
ค.ศ. 1688 พระเจ้าหลุยส์มีรับสั่งให้ยกทัพบุกเยอรมนีเพื่อทวงแคว้นพาลาติเนตคืนให้พระเจ้าน้องเขย แต่ปีเดียวกันวิลเฮม เจ้าชายแห่งออเรนจ์ (Prince of Orange) ผู้ครองเนเธอร์แลนด์ ยึดอำนาจในอังกฤษปราบดาภิเษกเป็น
พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ ทำให้อังกฤษเข้าร่วมสันนิบาตออกซ์บูร์ก กลายเป็นมหาสัมพันธมิตร (Grand Alliance) เกิด
สงครามมหาสัมพันธมิตร (War of the Grand Alliance) พระเจ้าหลุยส์ทรงพยายามจะส่ง
พระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษคืนบัลลังก์ แต่ก็ถูกทัพของพระเจ้าวิลเลียมทำลายทางทะเล แต่บนบกฝรั่งเศสยึดเนเธอร์แลนด์ได้หลายเมือง และทางสเปนก็ต้านไว้ได้ จนทำสนธิสัญญาไรสวิก (Ryswick) ฝรั่งเศสคืนดินแดนทั้งหมดที่ยึดมายกเว้นเมืองสตราสบูร์ก
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งสเปนทรงไม่มีทายาท พระเจ้าหลุยส์จึงเสนอ
ดยุคแห่งอังชู พระนัดดา เป็นกษัตริย์สเปนองค์ต่อไป แต่ฝ่ายจักรวรรดิโรมันอันศักดิสิทธิ์เสนออาร์คดยุดชาร์ลส์แห่งออสเตรียมาแข่ง แต่
ค.ศ. 1700 พระเจ้าชาร์สส์ก่อนสิ้นพระชนม์ยกสเปนรวมทั้งอาณานิคมทั้งหมดให้ดยุคแห่งอังชู เป็นพระเจ้าฟิลิปที่ 5 แห่งสเปน ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์บูร์บงในสเปน สร้างความไม่พอใจทั่วยุโรป อีกทั้งพระเจ้าหลุยส์ยังทรงสนับสนุนเจมส์ สจ๊วด ผู้ทวงบัลลังก์อังกฤษของพระเจ้าวิลเลียม ทำให้อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ และจักรวรรดิโรมันฯ ตั้งมหาสัมพันธมิตรอีกครั้ง เกิด
สงครามสืบราชบัลลังก์สเปน
ฝรั่งเศสส่งทัพบุกออสเตรียทางอิตาลี แต่ถูกต้านไว้ เป็นครั้งแรกที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ ต่อมาฝรั่งเศสก็พ่ายแพ้ทุกทาง จนต้องกลับกลายเป็นฝ่ายตั้งรับใน
ค.ศ. 1709 แต่ในสเปน ทัพพระเจ้าฟิลิปที่ 5 และทัพฝรั่งเศสก็สามารถเอาชนะต่างชาติได้หมด และฝรั่งเศสก็กลับมาเป็นฝ่ายบุกอีกใน
ค.ศ. 1712 ใน
ค.ศ. 1705 จักรพรรดิโจเซฟ พระเชษฐาของอาร์คดยุคชาร์ลส์สิ้นพระชนม์ ทำให้อาร์คดยุคชาร์ลส์ต้องขึ้นครองราชย์เป็น
จักรพรรดิชาร์ลส์ที่ 6 แห่งจักรวรรดิโรมันฯ ทำให้ชาติต่างๆในยุโรป เสิกสนับสนุนจักรพรรดิชาร์ลส์ เพราะเกรงจะมีกำลังมากเกินไป ทำให้ฝ่ายอังกฤษเจรจาสงบศึกพระเจ้าหลุยส์ใน
ค.ศ. 1713เป็น
สนธิสัญญาอูเทรกช์ท (Utrecht) และใน
ค.ศ. 1714 กับจักรวรรดิโรมันฯในสนธิสัญญาราสตัตต์ และบาเดน ยอมรับราชวงศ์บูร์บงให้ปกครองสเปน ทำให้สเปนกลายเป็นพันธมิตรสำคัญของฝรั่งเศสต่อมา
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สิ้นพระชนม์ในปี
ค.ศ. 1715 ก่อนวันคล้ายวันประสูติพระชนมายุ 77 พรรษาไม่กี่วัน ทรงครองราชย์ 72 ปี ยาวนานกว่ากษัตริย์ยุโรปอื่นใด พระองค์พระชนมายุยาวนานมาก จนพระโอรสและนัดดาสิ้นพระชนม์ไปก่อนหมด เหลือเพียงดยุคแห่งอังชูที่ยังพระเยาว์ ขึ้นครองราชย์เป็น
พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส
พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ยังทรงพระเยาว์จนต้องมีผู้สำเร็จราชการแทนหลายคน เริ่มที่
ดยุคแห่งออร์เลียงส์ เข้าร่วม
สงครามจตุรมิตร (War of the Quadraple Alliance - ประกอบด้วยฝรั่งเศส อังกฤษ ออสเตรีย และเนเธอร์แลนด์ - ไม่เกี่ยวกับสี่โรงเรียน)เมื่อพระเจ้าฟิลิปที่ 5 แห่งสเปนและราชินี
อลิซาเบธ ฟาร์เนสที่ทะเยอทะยาน ต้องการกอบกู้ดินแดนในอิตาลีและกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำที่เสียไปในสงครามสืบราชสมบัติสเปน ผลคือความพ่ายแพ้ของสเปน ต่อมา
คาร์ดินัล เฟลอรี (Cardinal Fleury) ทำ
สงครามสืบราชสมบัติโปแลนด์ สตานิสลาส เลสเซนสกี ต้องการเป็นพระมหากษัตริย์
โปแลนด์ แต่จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต่อต้าน ฝรั่งเศสเห็นโอกาสที่จะทำลายอำนาจออสเตรีย จึงทำสงคราม แต่สนธิสัญญาเวียนนาใน
ค.ศ. 1735 เลสเซนสกีได้เป็นดยุคแห่งลอร์เรน ซึ่งเมื่อเลสเซนสกีเสียชีวิตใน
ค.ศ. 1766 แคว้นลอร์เรนจึงตกเป้นของฝรั่งเศส ทำให้ฝรั่งเศสมีอาณาเขตถึงปัจจุบัน
ในศตวรรษที่ 18 ในยุโรปเป็น
ยุคภูมิธรรม (Age of Enlightenment) เป็นสมัยปรัชญาแนวคิดแบบใหม่ที่แปลกแยกออกจากธรรมเนียมเก่า ๆ เฟื่องฟู ฝรั่งเศสก็มีนักปราชญ์ที่สำคัญสามคนแห่งยุค คือ
ฌ็อง-ฌัก รูโซ,
มงแต็สกีเยอ และ
วอลแตร์ ที่เสนอคติแนวความคิดการปกครองแบบใหม่ ใน ค.ศ. 1751 มีการพิมพ์หนังสือ Encyclopédie เป็นหนังสือรวบรวมความรู้วิทยาการทุกแขนง
พระนางมารี อังตัวเนต องค์หญิงชาร์ลอต องค์ชายหลุยส์-โจเซฟ และองค์ชายหลุยส์-ชาร์ลส์ (
พระเจ้าหลุยส์ที่ 17)
ความฟุ่มเฟือยของราชสำนักและสงครามที่พ่ายแพ้ทำให้เศรษฐกิจของฝรั่งเศสตกต่ำลง พระคลังเป็นหนี้ทั่วยุโรป
พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จึงทรงแต่งตั้งผู้ที่มีความสามารถเพื่อกอบกู้สถานการณ์ เช่น
ตูร์โกต์ ซึ่งพยายามจะเก็บภาษีแบบใหม่ๆ แต่ประชาชนถูกเก็บภาษีหลายประเภทแล้ว เลยพากันฐานะยากจนกันไปหมด จึงเก็บภาษีจากสินค้าต่างๆแทน แต่บรรดาขุนนางอ้างว่ากษัตริย์ไม่มีพระราชอำนาจที่จะตั้งภาษีใหม่ แต่เป็นสภาฐานันดร (Estates-General) ต่างหาก พระเจ้าหลุยส์ทรงเห็นว่าตูร์โกต์ใช้ไม่ได้ แลยตั้ง
เน็กแกร์ขึ้นมาแทนใน
ค.ศ. 1776 พอดีกับอาณานิคมของบริเทนในอเมริกาประกาศเอกราชใน
สงครามปฏิวัติอเมริกา เนคแกร์ให้สนับสนุนฝ่ายอเมริกาโดยส่ง
มาร์ควิสแห่งลาฟาแยตไปช่วย จนฝ่าย
อเมริกามาประกาศเอกราชที่ปารีสใน
ค.ศ. 1783
ในค.ศ. 1783 พระเจ้าหลุยส์ทรงแต่งตั้ง
กาโลนน์ กาโลนน์ใช้วิถีการแก้ปัญหาโดยการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อสร้างเครดิต กาโลนน์ขอให้สภาขุนนาง
ค.ศ. 1787 ผ่านร่างวิธีแก้ปัญหาแบบฟุ่มเฟือยนี้ แต่บรรดาขุนนางพอได้ยินจำนวนหนี้ของอาณาจักรก็พากันตกใจและยับยั้งร่างทันที พระเจ้าหลุยส์จึงทรงตั้ง
เดอเบรียง เดอเบรียงใช้กำลังบังคับให้พวกขุนนางผ่านร่างแก้ปัญหาของเขา จนบ้านเมืองแทบจะเกิดจลาจล เพราะเดอเบรียงใช้อำนาจบาตรใหญ่ ในค.ศ. 1789 เดอเบรียงจึงถูกปลดและพระเจ้าหลุยส์ก็เรียกเน็กแกร์กลับมาแก้ปัญหาอีกครั้ง
ใน ค.ศ. 1789 พระเจ้าหลุยส์ทรง
เรียกประชุมสภาฐานันดร เพื่อแก้ปัญหาความวุ่นวายต่าง ๆ หลังจากที่ไม่ได้ประชุมมาประมาณสองร้อยปีแล้ว สภาฐานันดร คือ สภาของสามชนชั้น (ขุนนาง บาทหลวง และสามัญชน) ปัญหาคือแต่ละฐานันดรออกเสียงได้หนึ่งเสียง เกิดความไม่เท่าเทียม เพราะฐานันดรที่ 3 (สามัญชน) คือคนทั้งประเทศ ถูกพวกขุนนางกับบาทหลวงออกเสียงชนะหมด ทำให้สามัญชนไม่อาจแสดงความต้องการและปัญหาของตนได้ จนพระเจ้าหลุยส์ทรงให้ฐานันดรที่ 3 มีเสียงเป็นสองเท่าของสองฐานันดรแรก แต่พอถึงเวลาจริงพระเจ้าหลุยส์ตรัสให้สภาออกเสียง "ตามพระราชโองการ" ฐานันดรที่ 3 จึงแยกตัวออกไปเป็น
สมัชชาแห่งชาติ (National Assembly)
พระเจ้าหลุยส์มีพระราชโองการให้ปิดสถานที่ประชุมของฐานันดรที่ 3 ทำให้บรรดาสมาชิกสภาเปียกฝนกันอยู่ด้านนอก จึงให้
คำปฏิญาณสนามเทนนิส(Tennis Court Oath) ว่าพวกตนจะไม่สลายตัวจนกว่าจะได้ระบอบปกครองใหม่ ในที่สุดพระเจ้าหลุยส์ก็ทรงยอมรับสมัชชาแห่งชาติ สมัชชาแห่งชาติจึงเปลี่ยนเป็น
สภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ (National Constituent Assembly) แต่ทัพฝรั่งเศสและทหารรับจ้างเยอรมันตามชายแดนเริ่มคืบเข้ามาประชิดกรุงปารีส และพระเจ้าหลุยส์ทรงปลดฌักส์ เน็กแกร์ ที่ผ่อนปรนพวกฐานันดรที่ 3 ออกจากตำแหน่ง ทำให้ประชาชนชาวเมืองปารีสลุกฮือ บุกไปเอาดินปืนที่
คุกบาสตีย์เพื่อเอาไปยิงทัพที่มาบุกปารีส แต่ผู้คุมไม่ยอม จึงเกิดการปะทะ กลุ่มผู้ประท้วงที่โกรธแค้นสังหารตัดคอผู้คุมและแห่ศีรษะไปตามถนน และสังหารนายกเทศมนตรีปารีส
เหตุการณ์นี้ทำให้พระเจ้าหลุยส์ต้องทรงยอมรับ
ธงตรีกอลอร์เป็นธงฝรั่งเศส แทนธงของราชวงศ์บูร์บงเดิม พวกขุนนางและพระราชวงศ์หลบหนีออกนอกฝรั่งเศส เรียกว่า พวก
เอมิเกร (émigre)
ในสมัชชาก็แบ่งเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายขวาอนุรักษนิยม รักษาระบอบเก่า กับฝ่ายซ้ายหัวปฏิวัติ นักปฏิวัติที่ได้รับการเคารพนับถือที่สุด คือมิราโบ ซึ่งเสนอแนวทางแก้ปัญหาหลายอย่าง แต่ถูกผู้นำปฏิวัติอื่น ๆ คัดค้าน ในค.ศ. 1790 สมัชชาแห่งชาติประกาศ "
คำประกาศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมือง" (Declaration of the Rights of Man and Citizen) ประกาศเสรีภาพในทุกเรื่อง ล้มเลิกระบอบขุนนาง แต่พระเจ้าหลุยส์ก็ยังทรงพยายาม เรียกทัพจากชายแดนมาปราบกบฏ และจัดงานเลี้ยงเหยียบย่ำธงไตรรงค์ที่แวร์ซาย ทำให้กรุงปารีสจลาจลและกองกำลังติดอาวุธของประชาชน (National Guard) มาบุกพระราชวังแวร์ซาย ขับพระราชวงศ์ออกไป พระเจ้าหลุยส์และพระราชวงศ์จึงหนีไปประทับที่พระราชวังตุยเลอรีส์แทน
นโยบายที่รุนแรงที่สุดของสมัชชาแห่งชาติคือการทำบรรพชิตให้เป็นพลเมือง (Civil Constitution of Clergy) บาทหลวงจึงไม่ต่างกับสามัญชน เท่ากับไม่ยอมรับศาสนา บาทหลวงจำนวนมากที่ไม่ยอมจำนนต่อสมัชชาแห่งชาติ พากันหนีไปหลบซ่อนตัวตามที่ต่างๆ เสรีภาพทำให้เกิดแนวความคิดและสมาคมทางการเมืองขึ้นมามากมาย ที่โด่งดังที่สุดก็คือสมาคมฌากอแบ็ง (Jacobin)
ใน ค.ศ. 1791 พระเจ้าหลุยส์และพระราชวงศ์ทรงพยายามจะหลบหนีออกนอกประเทศ แต่ด้วยขบวนเสด็จที่แม้จะรีบร้อนแต่ก็หรูหรา ทำให้ทรงถูกจับได้ง่าย ๆ ที่วาเรนส์ ทำให้ประชาชนเกรงว่าพระเจ้าหลุยส์จะยึดอำนาจคืน จึงเรียกร้องให้ล้มระบอบกษัตริย์ที่ทุ่งชองป์-เดอ-มาส์ แต่ถูกทหารปฏิวัติสังหารอย่างโหดร้าย
จักรพรรดิลีโอโพลด์ที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พระเชษฐาของพระนางมารีอังตัวเนต จึงทรงขอความสนับสนุนจากประเทศต่าง ๆ กู้อำนาจคืนให้พระเจ้าหลุยส์ ในที่สุดรัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 1791 ก็เสร็จสิ้น สมัชชาแห่งชาติสิ้นสุดลง กลายเป็น
สภานิติบัญญัติ (Legislative Assembly) ฝรั่งเศสจึงกลายเป็นระบอบ
ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
สมาคมฌากอแบ็ง แบ่งเป็นสองฝ่าย คือ สมาคมเฟยยองต์ (Feuillant) สนับสนุนระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และสมาคมฌีรงแด็ง (Girondin) หัวขวาจัด ฝรั่งเศสประกาศกฎอัยการศึกใน ค.ศ. 1792 แม้จะมีผู้คัดค้านสงครามอยู่มาก
สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พระโอรสจักรพรรดิลีโอโพลด์ ประกาศสงครามกับฝรั่งเศสใน
ค.ศ. 1792 ฝรั่งเศสส่งมาร์ควิสแห่งลาฟาแยตบุก
เนเธอร์แลนด์ของออสเตรีย แต่ปรัสเซียส่งดยุกแห่งเบราน์ชไวก์มาบุกปารีส ประกาศคำประกาศเบราน์ชไวก์ (Brunswick Manifesto) ถ้าไม่เลิกปฏิวัติจะถล่มฝรั่งเศสให้ราบคาบ ต่างชาติบุกทำให้ชาวฝรั่งเศสคิดว่าพระเจ้าหลุยส์ทรงอยู่เบื้องหลัง สมาคมเฟยยองต์ถูกปิด ทำให้ประชาชนบุกพระราชวังตุยเลอรีส์ จับพระเจ้าหลุยส์และพระราชวงศ์เข้าคุก ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยนักโทษการเมือง
ดยุกแห่งเบราน์ชไวก์จึงบุกฝรั่งเศส ทำให้ชาวฝรั่งเศสยิ่งโมโห จับนักโทษในคุกออกมาสังหารโหดหลายพันคน เรียกว่า
การสังหารหมู่เดือนกันยายน (September Massacre) ในแคว้นวังเด (Vendée) ฝ่ายสนับสนุนกษัตริย์ก่อกบฏ การปกครองฝรั่งเศสจึงล่มสลาย บรรดาผู้นำปฏิวัติหัวรุนแรงที่เหลือรอด (พวกสายกลางถูกกำจัดไปหมด) และจัดตั้ง
สภากองวังเชียง (National Convention)
สำเร็จโทษ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16
ใน ค.ศ. 1793 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงถูกสำเร็จโทษโดยการบั่นพระศอด้วยเครื่อง
กิโยติน ทั้งยุโรปจึงเห็นถึงความระห่ำของฝรั่งเศส ตั้งสัมพันธมิตรครั้งที่ 1 (First Coalition) ฝรั่งเศสชนะกองทัพต่างชาติที่วาลมี และยึดเมืองนีซ และแคว้นซาวอย ใน ค.ศ. 1792 และโมนาโค ใน
ค.ศ. 1793 พวกฌีรงแด็งหัวรุนรุนแรง เรียกว่า พวกมงตาญาร์ (Montagnard) หรือพวกฌากอแบ็ง เช่น
รอแบ็สปีแยร์ (Robespierre)
ดังตอง (Danton) มีอำนาจเพราะสงครามทำให้ประเทศต้องการการปกครองที่เด็ดขาด พวกฌากอแบ็งนำทัพบุกสภากองวังเชียง ทำให้พวกฌีรงแด็งหัวอ่อนถูกกวาดล้าง หลบหนีไปซ่อนตามป่าเขา แคว้นวังเดลุกฮือมากขึ้น ฝ่ายปฏิวัตินำทหารเข้าปราบปรามอย่างโหดเหี้ยม ทำให้เวิงดีพินาศย่อยยับ กลายเป็นแคว้นร้าง ทางการประกาศเกณฑ์ประชาชนทุกคนชายหญิงเด็กชราให้มาทำงานในกองทัพ
รอแบ็สปีแยร์ประกาศความน่าสะพรึงกลัว (Terror) เพื่อสร้างความโหดเหี้ยมให้ฝรั่งเศส และประกาศ Law of Suspects นักโทษการเมืองไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และตั้ง
ศาลปฏิวัติ (Revolutionary Tribunal) ซึ่งทุกคนที่ขึ้นศาลนี้จบลงที่กิโยตินทุกคน ทั้งพระนาง
มารี อังตัวเนต พระราชวงศ์ พวกเฟยยองต์ พวกฌีรงแด็ง กษัตริย์นิยม และประชาชน ต่างต้องสังเวยเครื่องกิโยติน รอแบ็สปีแยร์ยังให้เลิกนับถือคริสต์ศาสนา เลิกใช้คริสต์ศักราช แต่ใช้ศักราชปฏิวัติ นับปี ค.ศ. 1793 เป็นปีที่ 1 และมีการตั้งศาสนาใหม่ คือ ลัทธิแห่งเหตุผล (Cult to Reason) นับถือเทพธิดาชื่อเหตุผล
แต่ฝรั่งเศสก็สามารถขับไล่ทัพของชาติต่าง ๆ ที่มารุกรานฝรั่งเศสได้ ตอนนี้พวกฌากอแบ็งโค่นอำนาจกันเอง ดังตองถูกกิโยติน ใน
ค.ศ. 1794 เหลือรอแบ็สปีแยร์ผู้เดียว ทรงอำนาจสูงสุด ประกาศ Cult of Supreme Being เป็นศาสนาใหม่อีกศาสนา และประกาศกฎมหามิคสัญญี (Law of the Great Terror) มิให้นักโทษการเมืองแต่งพยานสู้คดี ผู้คนหลายพันในกรุงปารีสถูกกิโยติน แต่รอแบ็สปีแยร์ก็ถูกโค่นอำนาจโดยผู้นำปฏิวัติอื่น ๆ เพราะกลัวจะถูกกิโยติน เรียกว่า
ปฏิกิริยาเดือนแตร์มิดอร์ (Thermidorien Reaction)
พวกแตร์มิดอร์ขึ้นมามีอำนาจ ดำเนินนโยบายกลับกับมิคสัญญี ผ่อนคลายความน่าสะพรึงกลัว ทัพฝรั่งเศสยึดเนเธอร์แลนด์ได้ใน ค.ศ. 1795 รัฐธรรมนูญแห่งปีที่ 3 (
ค.ศ. 1795) ตั้ง
คณะดิเร็กตัวร์(Directory) เป็นระบอบการปกครองใหม่ ประกอบดัวยดิเร็กเตอร์ 5 คน ซึ่งจะถูกเลือกตั้งทิ้งไป 1 ตำแหน่งทุกปี ทำหน้าที่บริหาร มีสภาอาวุโส (Council of Ancients) และสภาห้าร้อย (Council of Five Hundreds) เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ บรรดาผู้นำสภากองวังเชียงเดิมเกรงว่าพวกตนจะถูกรุมประชาทัณฑ์เสียชีวิตจึงพยายามจะเข้ามามีอำนาจในระบอบปกครองใหม่ ทำให้ประชาชนไม่พอใจ และฝ่ายกษัตริย์นิยม ก่อจลาจลในปารีส นโปเลียนยิงปืนใหญ่ขู่ทีเดียว (Whiff of Grapeshot) จลาจลก็สลายตัว เป็นผลงานแรกของนโปเลียน
นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) เป็นชาวเกาะ
คอร์ซิกา มาเป็นทหารในฝรั่งเศส แต่งงานกับโจเซฟีน เดอ โบอาร์เนส์ (Josephine de Beauharnais) แม่หม้ายลูกติดสอง นโปเลียนนำทัพเข้าบุกอิตาลีเพื่อต้านทานทัพที่จะมาบุกทางอิตาลี จนยึดคาบสมุทรอิตาลีได้ ตั้งรัฐบริวารมากมาย เช่น สาธารณรัฐซิสอัลไพน์ (Cisalpine) สาธารณรัฐเวนิส สาธารณรัฐพาร์เธโนเปีย (Parthenopian Republic) จนใน
ค.ศ. 1797 ออสเตรียทำสนธิสัญญาคัมโป-ฟอร์มิโอ (Campo-Formio) ยอมยกเบลเยียมและอิตาลีให้ฝรั่งเศส
ฝ่ายคณะดิเร็กตัวร์เห็นว่านโปเลียนกำลังเป็นวีรบุรุษและมีอำนาจ จึงส่งไปบุก
อียิปต์ คณะดิเร็กตัวร์ต้องการรักษาอำนาจ จึงปลุกปั่นบ้านเมืองให้วุ่นวาย และยึดอำนาจกันเอง การบุกอียิปต์ของนโปเลียนทำให้ชาติต่าง ๆ ในยุโรปรวมตัวกันอีกครั้งเป็นสัมพันธมิตรครั้งที่ 2 (Second Coalition) จนนโปเลียนฝ่าวงล้อมของบริเตนออกมาจากอียิปต์ได้ใน
ค.ศ. 1799 กลับมาฝรั่งเศส ยึดอำนาจจากคณะไดเร็กตัวร์ เรียกว่า รัฐประหาร 18 ฟรุกติดอร์ (18 Fructidor)
รัฐธรรมนูญแห่งปีที่ 8 (ค.ศ. 1799) ตั้ง
คณะกงสุล (Consulate) ประกอบด้วยกงสุล 3 คน หนึ่งในนั้นคือตัวนโปเลียนเอง ปกครองฝรั่งเศส ใน ค.ศ. 1800 นโปเลียนวิ่งเต้นให้ตนเองเป็นกงสุลใหญ่ (First Consul) นโปเลียนชนะออสเตรียที่อิตาลีอีก จนทำสนธิสัญญาลูเนวิลล์ (Luneville) ยกเยอรมนีส่วนทางตะวันออกของ
แม่น้ำไรน์ทั้งหมดให้ฝรั่งเศส นโปเลียนให้ฝรั่งเศสกลับมานับถือคริสต์ศาสนาอีกครั้งใน
ค.ศ. 1801 โดยเจรจากับพระสันตปาปา มอบอำนาจการปกครองศาสนาในฝรั่งเศสให้นโปเลียน ใน
ค.ศ. 1802 บริเตนทำสนธิสัญญาอาเมียง (Amiens) ยอมคืนอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ที่ยึดไปให้ฝรั่งเศส นโปเลียนวิ่งเต้นผลเลือกตั้งอีกครั้ง ให้ตนเองเป็นกงสุลใหญ่ตลอดชีพ (First Consul for Life)
พระจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศส
ใน ค.ศ. 1804 นโปเลียนปราบดาภิเษกตนเองเป็นจักรพรรดิ เริ่ม
จักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1 (First Empire) พระเจ้านโปเลียนทรงปรับปรุงกองทัพฝรั่งเศสเป็น "
กองทัพใหญ่" (
Grand Armée) ใน
ค.ศ. 1805 การประกาศฝรั่งเศสเป็นจักรวรรดิทำให้ชาติต่างๆรวมตัวกันอีกครั้งเป็นสัมพันธมิตรครั้งที่ 3 (Third Coaltion) พระเจ้านโปเลียนทรงนำทัพบุก
เยอรมนี ชนะทัพออสเตรียที่อุล์ม (Ulm) แต่ทางทะเลพ่ายแพ้อังกฤษที่แหลมทราฟัลการ์ (Trafalgar) ชัยชนะที่อุล์มทำให้พระเจ้านโปเลียนทรงรุกคืบเข้าไปในออสเตรีย ชนะออสเตรียและรัสเซียที่
เอาสเทอร์ลิทซ์ (Austerlitz) เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนโปเลียน สัมพันธมิตรครั้งที่ 3 จึงสลายตัวด้วยสนธิสัญญาเพรสบูร์ก (Pressburg) จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิล่มสลายไป พระเจ้านโปเลียนตั้ง
สมาพันธรัฐแห่งไรน์(Confederation of the Rhine) ขึ้นมาแทนที่ พระจักรพรรดิเปลี่ยนตำแหน่งเป็นจักรพรรดิออสเตรีย
ความสำเร็จของนโปเลียนในเยอรมันทำให้ปรัสเซียร่วมกับบริเทนและรัสเซียตั้งสัมพันธมิตรครั้งที่ 4 (Fourth Coalition) แต่คราวนี้ฝรั่งเศสมีรัฐบริวารมากมาบให้การสนับสนุน นโปเลียนจึงนำทัพบุกปรัสเซีย ชนะที่เยนา-เออร์ชเตดท์ (Jena-Auerstedt)และชนะรัสเซียที่ฟรีดแลนด์ (Friedland) จนทำสนธิสัญญาทิลซิท (Tilsit) ปรัสเซียสูญเสียดินแดนขนาดใหญ่ กลายเป็นแกรนด์ดัชชีแห่งวอร์ซอว์ (Grand Duchy of Warsaw) และ
พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย ร่วมเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสและเข้าระบบภาคพื้นทวีป (Continental system) เพื่อตัดขาดบริเตนทางการค้าจากผืนทวีปยุโรป
จักรวรรดิฝรั่งเศส แผ่ขยายอาณาเขตสูงสุด ค.ศ. 1811 สีทึบคือฝรั่งเศสปกครองโดยตรง สีจางคือรัฐบริวาร
แต่สองประเทศ คือ สวีเดนและโปรตุเกส เป็นกลางและไม่ยอมเข้าร่วมระบบภาคพื้นทวีป นโปเลียนนทัพบุกโปรตุเกสใน ค.ศ. 1807 แต่ก็ทรงฉวยโอกาสยึดสเปนมาจากพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 แห่งสเปน ราชวงศ์บูร์บง มาให้พระอนุชาคือโจเซฟ โบนาปาร์ต (Joseph Bonaparte) เป็นกษัตริย์แห่งสเปน โปรตุเกสตกเป็นอาณัติของฝรั่งเศส แต่ชาวสเปนและชาวโปรตุเกสไม่ยอม จึงทำ
สงครามคาบสมุทร (Peninsula War) ต่อต้านนโปเลียน โดยใช้การสงครามกองโจร (Guerilla Warfare) บริเตนส่งดยุคแห่งเวลลิงตัน (Duke of Wellington) มาช่วยสเปนและโปรตุเกส ใน
ค.ศ. 1809 ออสเตรียก็ตัดสินใจทำสงครามอีกครั้ง เป็นสัมพันธมิตรครั้งที่ 5 (Fifth Coalition) พระเจ้านโปเลียนทรงนำทัพบุกทันที ชนะออสเตรียที่แอสเปิร์น-เอสลิง (Aspern-Essling) และวากราม (Wagram) จนทำสนธิสัญญาเชินบรุนน์ (Schönbrunn) ออสเตรียเสียดินแดนเพิ่มเติมให้ฝรั่งเศส และนโปเลียนอภิเษกกับ
อาร์คดัชเชสมารี-หลุยส์ (Archduchess Marie-Louis)
พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ทรงทำสงครามกับนโปเลียนอีกครั้ง ใน
ค.ศ. 1812 พระเจ้านโปเลียนทรงนำทัพบุกรัสเซียกลางฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ รัสเซียหลอกล่อให้ทัพฝรั่งเศสเข้าไปอดอาหารและหนาวตายในรัสเซีย แม้จะไปถึงมอสโกแต่ทั้งเมืองก็ถูกเผาอย่างจงใจเพื่อมิให้เสบียงตกถึงมือนโปเลียน ทำให้การบุกรัสเซียเป็นความพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนโปเลียน ชัยชนะของรัสเซียปลุกระดมชาติต่าง ๆ ให้รวมตัวกันเป็นสัมพันธมิตรครั้งที่ 6 (Sixth Coalition) เอาชนะนโปเลียนใน
ยุทธการไลพ์ซิก (Leipzig) ทำให้นโปเลียนถอยกลับฝรั่งเศส
ใน
ค.ศ. 1813 จักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศสทรงสละบัลลังก์ เพราะได้รับการต่อต้านจากชาวฝรั่งเศส ใน
ค.ศ. 1814 สัมพันธมิตรเข้าบุกยึดกรุงปารีส ทำสนธิสัญญาฟองแตนโบล (Fontainebleau) เนรเทศพระเจ้านโปเลียนไปเกาะเอลบา (Elba) ในอิตาลี สิ้นสุดจักรวรรดิที่ 1
ยุคราชวงศ์ฟื้นฟู (ค.ศ. 1815 - ค.ศ. 1830)
เกาะเล็กๆไม่อาจขวางกั้นนโปเลียนได้ ขณะที่ยุโรปกำลังหารือ
คองเกรสแห่งเวียนนา (Congress of Vienna) เพื่อนำยุโรปสู่สภาพเดิมก่อนปฏิวัติฝรั่งเศส แต่นโปเลียนก็กลับมายึดอำนาจฝรั่งเศสอีกครั้งใน
ค.ศ. 1815 และอยู่ได้
ร้อยวัน (The Hundred Days) จนชาติต่างๆ ในสัมพันธมิตรครั้งที่ 7 (Seventh Coalition) เอาชนะนโปเลียนใน
ยุทธการวอเตอร์ลู ทำให้นโปเลียนถูกเนรเทศไปเกาะ
เซนต์เฮเลนา (Saint Helena) ของบริเตนกลางมหาสมุทรแอตแลนติก จนเสียชีวิตใน
ค.ศ. 1821
ภายใต้ข้อตกลงของคองเกรสแห่งเวียนนา ราชวงศ์บูร์บงกลับมาครองฝรั่งเศสอีกครั้ง เคานท์แห่งโปรวองซ์ (Comte de Provence) พระอนุชาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กลับเข้าฝรั่งเศสมาครองราชย์เป็น
พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 การปกครองใหม่ของฝรั่งเศสเป็นแบบสองสภา คือ สภาขุนนาง (Chamber of Peers) และสภาผู้แทน (Chamber of Deputies) เกิดฝ่ายนิยมกษัตริย์หัวรุนแรง (Ultra-royalist) ซึ่งได้ชื่อว่านิยมกษัตริย์มากกว่าองค์กษัตริย์เสียเอง กวาดล้างขบวนการปฏิวัติและพวกนโปเลียนเดิม เรียกว่า มิคสัญญีขาว (White Terror) ทำให้ประชาชนหวาดกลัว การเลือกตั้งค.ศ. 1815 พวกนิยมกษัตริย์จึงได้รับการเลือกตั้งท่วมท้น เรียกว่า chambre introuvable แปลว่า สภาที่ทำงานด้วยไม่ได้ พระเจ้าหลุยส์ทรงยุบสภานี้เสีย เพราะทรงตระหนักว่าพวกนี้หัวรุนแรงเกินไป และเลือกตั้งใหม่ จึงได้พวกเสรีนิยมมากขึ้น
เสรีภาพนำประชาชน โดย
เออแฌน เดอลาครัวซ์ (Eugéne Delacroix) แสดงการปฏิวัติเดือนกรกฎาคม สตรีแสดงถึงเสรีภาพ
ใน
ค.ศ. 1830 ปอลีญักนำฝรั่งเศสบุกยึดแอลจีเรีย เป็นอาณานิคมแรกของฝรั่งเศสในแอฟริกา และโปลิญักออกกฤษฎีกาเดือนกรกฎาคม (July Ordinances) ยกเลิกสภาผู้แทน จำกัดสิทธิการเลือกตั้งเหลือแต่คนร่ำรวย และจำกัดเสรีภาพสื่อสิ่งพิมพ์ ทำให้เกิด
การปฏิวัติเดือนกรกฎาคม (July Revolution) พระเจ้าชาร์ลส์ทรงสละราชบัลลังก์ให้พระนัดดา คือ ดยุกแห่งบอร์โดซ์ (Duc de Bordeaux) แต่คณะปฏิวัติกลับยกบัลลังก์ให้หลุยส์-ฟิลิป แห่งราชวงศ์บูร์บงสายออร์เลอองส์ เป็น
พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิป ทำให้ฝ่ายนิยมกษัตริย์แบ่งเป็นสองพวก คือ พวกเลฌิติมิสต์ (Legitimist) หรือกลุ่มราชวงศ์บูร์บงสายสิทธิชอบธรรม สนับสนุนราชวงศ์บูร์บงเดิม และพวกออร์เลอองนิสต์ (Orléanist) สนับสนุนราชวงศ์บูร์บงสาขาออร์เลอองส์
ราชาธิปไตยเดือนกรกฎาคม (ค.ศ. 1830 - ค.ศ. 1848)
พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปทรงดำรงพระยศเป็น
กษัตริย์ของชาวฝรั่งเศส (King of the French) ไม่ใช่
กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส (King of France) เป็นกษัตริย์ที่สมถะไม่ฟุ่มเฟือยและทรงรักเสรีภาพ ทำให้ทรงได้รับสมยานามว่ากษัตริย์ประชาชน (The Citizen King) ระบอบกษัตริย์ของฝรั่งเศสเป็น
ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ(Constitutional Monarchy) ดำรงอยู่ได้ 18 ปี เรียกว่า
ราชาธิปไตยเดือนกรกฎาคม (July Monarchy) เพราะมาจากการปฏิวัติกรกฎาคม
ในช่วงแรกของระบอบราชาธิปไตยเดือนกรกฎาคม พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปทรงเป็นที่รักของปวงชนอย่างมาก และทรงไม่เหมือนกับพระราชวงศ์พระองค์ก่อนๆ คือทรงคบค้าสมาคมแต่กับพวกพ่อค้านายธนาคาร พวกชนชั้นกลาง (Bourgeoisie) ทำให้ตำแหน่งประธานสภาในสมัยนี้มาจากชนชั้นกลางทั้งสิ้น
กฎบัตร ค.ศ. 1830 เป็นธรรมนูญของระบอบของพระองค์ ซึ่งมีความเป็นประชาธิปไตยและเสรีมากกว่าเดิมและพระราชอำนาจก็ถูกริดรอนลงไปมาก ในสมัยนี้ยังเกิดพวกดอกตริแนร์ (Doctrinaire) คือ ฝ่ายที่ประนีประนอมระหว่างฝ่ายกษัตริย์และฝ่ายสาธารณรัฐให้สามารถอยู่ร่วมกันได้
แต่สมัยระบอบกษัตริย์เดือนกรกฎาคมไม่ได้สงบสุขมากเท่าไร เพราะเนื่องจากรัฐบาลอันประกอบด้วยพวกดอกตริแนร์และพวกออร์เลอองนิสต์ (Orléanist) พยายามจะอยู่ตรงกลาง ทำให้ทั้งฝ่ายซ้ายและขวาไม่พอใจพากันก่อกบฏ และประธานสภาทั้งหลายแม้จะมาจากชนชั้นกลางแต่ก็หัวเอียงขวา ใน
ค.ศ. 1831 กาสิมี เปอรีเอร์ (Casimir Perier) สั่งปิดสมาคมการเมืองและสหภาพแรงงานต่างๆ ทำให้ฝ่ายซ้าย (ฝ่ายสาธารณรัฐ) ก่อ
กบฏกานู (Canut revolts) ในเมืองลียง ฝ่ายขวา (ฝ่ายราชวงศ์บูร์บงสายสิทธิโดยชอบธรรม หรือพวกเลฌิติมิสต์ - Legitimist) ก็ก่อกบฏใน
ค.ศ. 1832 นำโดย
ดัชเชสแห่งแบรี
ในพวกดอกตริแนร์เองก็แบ่งเป็นสองฝ่าย คือ พรรคเคลื่อนไหว (Parti du Movement) คือ ฝ่ายเสรีที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวเรียกร้องเสรีภาพ นำโดย
อดอล์ฟ ตีแยร์ (Adolph Thiers) และพรรคต่อต้าน (Parti de la résistance) คือ ฝ่ายอนุรักษนิยมที่ต่อต้านการเคลื่อนไหวเรียกร้องเสรีภาพ นำโดย
ฟรองซัว กิโซต์ (François Guizot) กาสิมี แปริแอร์ และ
เคานท์ โมเล (Comte Molé)
ในระยะหลังของสมัยกษัตริย์เดือนกรกฎาคม พวกพรรคต่อต้านมีอำนาจมากผู้นำทั้งสามคนก็ผลัดกันเป็นประธานสภา พรรคต่อต้านปิดสมาคมเพื่อยับยั้งการเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้ายและกีดกันออกจากสภา และยังออกกฎหมายช่วยเหลือชนชั้นกลางให้ได้ประโยชน์จากการจ้างแรงงาน ซึ่งแรงงานชนชั้นล่างนั้นไม่สามารถออกมาเรียกร้องการถูกเอาเปรียบได้เพราะจะกลายเป็นกบฏ และยังเกิด
การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ในฝรั่งเศส ทำให้เกิดชนชั้นแรงงาน ชีวิตชาวฝรั่งเศสชนชั้นล่างแร้นแค้นมาก ประชาชนยากจนลงและว่างงาน เกิดความเลื่อมล้ำทางสังคมอย่างแรงระหว่างชนชั้นกลางที่ร่ำรวยกับแรงงานที่ยากจน
ใน
ค.ศ. 1840 กีโซต์เป็นประธานสภา แม้หลายฝ่ายจะพยายามเสนอให้มีการปฏิรูปการปกครองที่ส่งผลให้สภาพสังคมฝรั่งเศสย่ำแย่ แต่กีโซต์ไม่ยอมให้มีการปฏิรูปใดๆ ในสมัยกษัตริย์กรกฎาคม สิทธิ์การเลือกตั้งนั้นเป็นของผู้ร่ำรวย ที่สามารถจ่ายภาษีตามเกณฑ์ให้รัฐได้ อันเป็นการรักษาอำนาจของชนชั้นกลางตอนบน (Haute Bourgeoisie) เพราะชนชั้นกลางเท่านั้นที่มีสิทธิ์เลือกตั้งเพราะมีเงิน คนจนไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรทั้งสิ้น มีความพยายามหลายครั้งที่จะแก้ไขสิทธิ์การเลือกตั้ง แต่กีโซต์ก็ตอบกลับว่า
ก็ทำตัวเองให้รวยสิ (Enrichissez-vous)
ในค.ศ. 1846 เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงราคาอาหารสูงขึ้น ประชาชนทนไม่ได้แล้วจึงก่อจลาจลทั่วประเทศใน
ค.ศ. 1847 ใน
ค.ศ. 1848 มีการนัดพบกันตามเมืองใหญ่เพื่อหารือการล้มล้างระบอบการปกครองเก่า เรียกว่า Campaigne des banquets แม้กีโซต์จะลาออก และพระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปจะทรงทนมิได้สละบัลลังก์ให้พระราชโอรส แต่ก็สายไปเสียแล้ว ในเดือนกุมภาพันธ์
ค.ศ. 1848 ฝรั่งเศสประกาศตั้ง
สาธารณรัฐที่สอง (Second Republic)
หลังจากการปฏิวัติได้มีการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล (Provisional government) ขึ้น เพื่อปกครองฝรั่งเศสจนกว่าจะได้รัฐธรรมนูญใหม่ โดยมี
ดูปองต์ เดอ เลอร์ (Dupont de l'Eure) เป็นประธานสภา และมีคณะกรรมการบริหาร (Executive Commission) ทำหน้าที่เป็นประมุขแห่งรัฐไปชั่วคราว แต่ทว่าได้เกิดการลุกฮือขึ้นของฝ่ายสังคมนิยมซึ่งใช้ธงแดงเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งคัดค้านแนวความคิดเสรีนิยมแบบประชาธิปไตยสาธารณรัฐซึ่งใช้ธงไตรรงค์เป็นสัญลักษณ์ และเห็นว่าตลอดการเปลี่ยนแปลงการปกครองหลายครั้งที่ผ่านมาชีวิตความเป็นอยู่ของกรรมกรและชนชั้นล่างนั้นไม่ดีขึ้น จึงเกิดจลาจลของชนชั้นผู้ใช้แรงงานขึ้นในปารีส เรียกว่า
การลุกฮือวันเดือนมิถุนายน (June Days Uprisings) ฝ่ายรัฐบาลเฉพาะกาลนำโดย
หลุยส์-เออแฌน กาแวนญัค (Louis-Eugène Cavaignac) นำกองกำลังเข้าปราบปรามจลาจลอย่างรุนแรง
การร่างรัฐธรรมนูญฉบับค.ศ. 1848 เสร็จสิ้นในเดือนพฤศจิกายน และกำหนดให้มีการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม ซึ่งเจ้าชาย
หลุยส์-นโปเลียน พระนัดดาของพระจักรพรรดินโปเลียน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งด้วยนโยบายสังคมนิยมทำให้หลุยส์-นโปเลียนได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายธงแดงและฝ่ายนิยมกษัตริย์ ในขณะที่ฝ่ายสาธารณรัฐนำโดยกาแวนญัคต้องพ่ายแพ้ไป หลุยส์-นโปเลียนจึงได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของฝรั่งเศสในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1848
ในรัฐสภาสมัยของหลุยส์-นโปเลียนประกอบด้วยฝ่ายขวาจัดคือกลุ่มเลฌิติมิสต์ และกลุ่มกลาง-ขวาคือกลุ่มออร์เลียงนิสต์ รัฐธรรมนูญฉบับปีค.ศ. 1848 ไม่อนุญาตให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งเกินกว่าหนึ่งสมัย ซึ่งหลุยส์-นโปเลียนได้พยายามที่จะแก้ไขกฎหมายนี้แต่ฝ่ายนิยมกษัตริย์ในสภาไม่เห็นชอบด้วย ในเดือนพฤษภาคมค.ศ. 1850 รัฐสภาฝ่ายนิยมกษัตริย์ได้ออกกฎหมายตัดสิทธิ์เลือกตั้งของชนชั้นล่าง หลุยส์-นโปเลียนจึงใช้โอกาสนี้เดินสายปราศรัยโจมตีรัฐบาลฝ่ายขวา และได้รับความนิยมในกลุ่มสังคมนิยม จนกระทั่งในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1851 หลุยส์-นโปเลียนได้ก่อการรัฐประหาร (Coup of 1851) เพื่อยึดอำนาจจากรัฐบาลฝ่ายขวา อีกหนึ่งปีต่อมาในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1852 มีการลงประชามติเห็นชอบให้ยุบระบอบสาธารณรัฐครั้งที่สองและประกาศให้ประเทศฝรั่งเศสเป็นจักรวรรดิอีกครั้ง เรียกว่า จักรวรรดิที่สอง (Second Empire)
พระจักรพรรดินโปเลียนที่สาม
รัฐธรรมนูญปีค.ศ. 1852 กำหนดให้
พระจักรพรรดินโปเลียนที่สาม เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร และยังคงมีรัฐสภาอยู่ทำหน้าที่นิติบัญญัติ เป็นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่อำนาจที่แท้จริงนั้นอยู๋ที่องค์พระจักรพรรดิ ในช่วงแรกของจักรวรรดิที่สองจักรพรรดินโปเลียนทรงจำกัดเสรีภาพสื่อสิ่งพิมพ์อย่างหนักและมีความเผด็จการอย่างมาก เพื่อสยบการวิจารณ์และการโจมตีของฝ่ายซ้ายสาธารณรัฐ จักรพรรดินโปเลียนที่สามทรงใช้สโลแกน
จักรวรรดินำมาซึ่งสันติภาพ (L'Empire, c'est la paix) แม้กระนั้นก็ทรงนำฝรั่งเศสเข้าสู่สงครามหลายครั้ง
การยึดเมืองไซ่ง่อน ค.ศ. 1859
ในรัชสมัยของพระจักรพรรดินโปเลียนที่สามยังเป็นจุดเริ่มต้นของ
ลัทธิจักรวรรดินิยมของฝรั่งเศสอีกด้วย โดยได้ทำการแผ่ขยายอำนาจและอาณานิคมในภูมิภาค
เอเชีย อันได้แก่
ในชณะเดียวกันนั้น แคว้น
ปรัสเซีย (Prussia) กำลังเรืองอำนาจอยู่ในเยอรมนีและกำลังทำสงครามเพื่อทำ
การรวมชาติเยอรมัน (German unification) จักรพรรดินโปเลียนทรงเห็นว่าการแผ่ขยายอำนาจของปรัสเซียจะเป็นภัยคุกคามต่อฝรั่งเศส ประกอบกับในค.ศ. 1870 ได้มีการรั่วไหลของ Ems Dispatch หรือโทรเลขที่แสดงความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์แห่งปรัสเซียและทูตฝรั่งเศส ที่ส่งถึง
ออตโต ฟอน บิสมาร์ก (Otto von Bismarck) เป็นจุดชนวนนำไปสู่ง
สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย (Franco-Prussian War) ปรากฏว่าทัพฝ่ายปรัสเซียมีชัยชนะเหนือทัพฝรั่งเศส สามารถบุกเข้ามาในประเทศฝรั่งเศสได้ และจักรพรรดินโปเลียนก็ทรงพ่ายแพ้และถูกจับองค์ได้ในยุทธการซีดัง (Battle of Sedan) ในเดือนกันยายน เพียงสองวันต่อมาฝ่ายซ้ายสาธารณรัฐได้เลิกล้มระบอบการปกครองของจักรวรรดิฝรั่งเศส และจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลขึ้นปกครองฝรั่งเศสแทน ในเวลาเดียวกับที่ทัพปรัสเซียได้ยกเข้าล้อมกรุงปารีส
เมื่อพระจักรพรรดินโปเลียนทรงถูกจับองค์ไปนั้น ทางเมืองปารีสก็ได้จัดตั้งรัฐบาลป้องกันประเทศ (Le Gouvernement de la Défense Nationale) ในขณะที่ทัพของปรัสเซียได้ยกเข้าล้อมเมืองปารีส จนกระทั่งเดือนมกราคมค.ศ. 1871 ทางรัฐบาลฝรั่งเศสจึงยอมจำนนและให้ทัพเยอรมันเข้าเมือง และมีการเลือกตั้งสมัชชาแห่งชาติได้รัฐบาลที่มีฝ่ายขวานิยมกษัตริย์เป็นเสียงข้างมาก โดยอดอล์ฟ ตีแยร์ ผู้ซึ่งเป็นออร์เลียงนิสต์เป็นประธานาธิบดี ในเดือนพฤษภาคมได้ทำสนธิสัญญาแฟรงก์เฟิร์ต (Treaty of Frankfurt) กับ
จักรวรรดิเยอรมัน โดยที่เสียแคว้น
อัลซาส (Alsace) และ
ลอแรน (Lorraine) ทางตะวันออกของฝรั่งเศสให้แก่จักรวรรดิเยอรมันที่เพิ่งเกิดใหม่ เมื่อร่าง
รัฐธรรมนูญฉบับค.ศ. 1875 เสร็จสิ้นแล้ว จึงได้มีการเลือกตั้งอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1877 ผลคือนาย
ปาทริส เดอ มักมาอง (Patrice de MacMahon) ที่เป็นเลฌิติมิสต์เป็นประธานาธิบดี มักมาองได้พยายามที่จะออกกฎหมายต่างๆให้ฝรั่งเศสกลับสู่ระบอบกษัตริย์อีกครั้ง แต่ต้องประสบปัญหากับการต่อต้านจากฝ่ายซ้ายสาธารณรัฐในสภา ทำให้ต้องยุบสภาในเดือนมกราคมค.ศ. 1879
ฝรั่งเศสยุคสงครามโลกครั้งที่สอง (ค.ศ. 1940 - ค.ศ. 1946)
รัฐบาลใหม่หลัง
สงครามโลกครั้งที่สองมีบทบาทในสงครามอินโดจีนครั้งแรก และพ่ายแพ้ต่อเวียดนามเหนือที่นำโดย
โฮจิมินห์ โดยเฉพาะการศึกที่
เดียนเบียนฟู รัฐบาลในช่วงนี้ไม่มีเสถียรภาพ และเหตุการณ์สุกงอมเมื่อปี 1958 ฝรั่งเศสแพ้สงครามที่
แอลจีเรีย ปลดปล่อยอิสรภาพ (
en:Algerian War) นายพลชาลส์ เดอ โกลจึงยึดอำนาจและร่างรัฐธรรมนูญใหม่เป็นสาธารณรัฐที่ 5
นายพล
ชาร์ล เดอ โกลใช้ระบบประธานาธิบดีที่เลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง แทนระบบรัฐสภาแบบเดิม ซึ่งคงอยู่มาถึงปัจจุบัน สาธารณรัฐที่ 5 ของฝรั่งเศสมีประธานาธิบดีมาทั้งหมด 7 คนดังนี้