วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2559

มิลาน(Milan) เมืองแห่งอดีตและอนาคตมิลาน

“ มิลาน (Milan) ” หรือที่คนอิตาเลียนเรียกว่า “ มิลาโน่ (Milano) ”เป็นเมืองหลวงทางแฟชันของโลกแข่งกับปารีสในประเทศฝรั่งเศส เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจของอิตาลี 
นอกจากนั้นยังมีภาพวาดเฟรสโก้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และโรงละครโอเปร่าอันลือชื่อ วันนี้เราจะพาไปเดินเล่นรอบเมืองมิลานกัน 
       จุดแรกสุดที่ต้องแวะชมก่อนคือมหาวิหารแห่งเมืองมิลาน หรือที่เรียกว่า “ ดูโอโม (Duomo) ” ชื่อนี้ไว้ใช้เรียกมหาวิหารประจำเมือง แทบจะมีดูโอโม่ทุกเมืองที่สำคัญ ๆ เลย น่าจะเป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของคนในเมือง ดูโอโม่ที่เมืองนี้สร้างในสถาปัตยกรรมแบบโกธิก เป็นมหาวิหารที่ใหญ่เป็นอับดับสองรองจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงวาติกัน
          มหาวิหารแห่งนี้เริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1386 แต่มาแล้วเสร็จ 400 กว่าปีหลังจากนั้น คือในปี ค.ศ.1813 ด้านนอกเป็นยอดแหลม 135 ยอด จึงมีชื่อเล่นว่า “ มหาวิหารเม่น ” มีรูปสลักหินอ่อนจากยุคต่าง ๆ ประดับอยู่กว่าสามพันรูป
ยอดที่สูงที่สุดประดับด้วยรูปสลักพระแม่มาเรียสูง 4 เมตร หุ้มด้วยทองคำทั้งองค์ มีชื่อเรียกว่า “ มาดอนนิน่า (Madonnina) ” 
ภายในมหาวิหารดูเรียบง่าย แต่โอ่อ่ากว้างขวาง ตามแบบโกธิก ด้านหน้ามหาวิหารจะเป็นลานกว้าง เรียกว่า “ ปิอาซซ่า เดล ดูโอโม (Piazza del Doumo) ” เป็นศูนย์กลาง เป็นแหล่งชุมนุมของผู้คนมาทุกยุคสมัย
ด้านข้างของจตุรัสหน้าดูโอโมทางทิศเหนือ จะเห็นทางเข้า “ กัลเลเรีย วิตโตรีโอ เอมานูเอล ” ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าที่หรูหราอลังการแห่งเมืองมิลาน  ภายในห้างเป็นโดมแก้ว มีห้างร้านต่าง ๆ มากมาย คล้ายกับอีกแห่งที่เมืองเนเปิลส

ทะลุออกมาอีกด้านจะเจอโรงอุปรากรชื่อก้องโลก “ ลา สกาล่า (Teatro alla Scala) ” แห่งเมืองมิลาน สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1776-1778 ฝันอยากได้ไปดูอุปรากรที่โรงนี้ซักหนในชีวิต จะมีโอกาสป่าวน้อ 

ข้างนอกดูงั้น ๆ แต่ข้างในสุดแสนจะเลิศหรูอลังการ ..
ใครรู้จักบุคคลในภาพบ้าง ถ้ารู้จักหมดแสดงว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ดนตรีคลาสสิกคนหนึ่งเลย 

ด้านหน้าลา สกาล่า เป็นลานอีกแล้ว เรียกว่า “ ปิอาซซ่า เดลลา สกาลา ” มีรูปปั้นของศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งของโลก คือ “ ลีโอนาร์โด ดาวินชี (Leonardo da Vinci) ”
          ในยุคนั้น เจ้าผู้ปกครองเมืองมิลานได้ว่าจ้างลีโอนาร์โดชาวเมืองฟลอเรนซ์ ให้มาผลิตผลงานที่เมืองมิลานแทน อยู่ฟลอเรนซ์ลำบาก ศิลปินดัง ๆ เยอะแยะอย่างเช่นมิเคลันเจโล หลบมาอยู่มิลานดีกว่า ไม่ค่อยมีคู่แข่ง ผลงานชิ้นสำคัญก้องโลกคือภาพวาดปูนเปียกที่ชื่อว่า “ The Last Supper ” อยู่ในเมืองมิลานนี่เอง ที่ “ โบสถ์ซานตา มาเรีย เดลเล กราเซีย (Santa Maria delle Grazie) ” ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ เป็นแห่งเดียวในมิลานที่ถูกกำหนดให้เป็นมรดโลก
จุดสำคัญแห่งหนึ่งในเมืองมิลานคือ “ ปราสาทสฟอร์เซสโก้ (Castello Sforzesco) ” เคยเป็นป้อมปราการของพวกตระกูลวิสคอนติ (Visconti) ต่อมาเป็นที่พำนักของผู้นำเผด็จการในช่วงศตวรรษที่ 15 คือตระกูลสฟอร์ซา (Sforza)
ปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์หลายแห่งที่สำคัญ 
       จริง ๆ แล้ว มิลานไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว แต่เป็นเมืองธุรกิจมากกว่า คนที่มาเมืองนี้ส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจหรือนักช้อปตัวยงมากกว่า “ ตึกพิเรลลี่ (Pirelli Tower) ” เป็นตึกที่สูงที่สุดในมิลานและเคยสูงที่สุดในอิตาลีด้วย

แฟนฟุตบอลอิตาลีอาจจะอยากชมสนามบอลซานซิโร ซึ่งเป็นสนามเหย้าของทั้งทีมเอซีมิลานและอินเตอร์มิลาน แต่ต้องนั่งรถออกไปจากตัวเมืองนะครับถ้าจะไปชมสนามหรือชมการแข่งขันที่สนามนี้
วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร (พระนครศรีอยุธยา)
      วันนี้จะพาไปเที่ยวไทยบรรยากาศแบบยุโรปกันที่ วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร  วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตรงข้า มกับพระราชวังบางปะอิน หลังจากเที่ยวชมพระราชวังบางปะอิน นักท่องเที่ยวสามารถนั่งกระเช้าข้ามแม่น้ำไปเยี่ยมชมวัดนี้ได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างวัดนี้เมื่อ พ.ศ.2419 เพื่อใช้เป็นที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ขณะเสด็จประทับที่พระราชวั งบางปะอิน วัดนี้มีลักษณะพิเศษคือ มีการตกแต่งเป็นแบบตะวันตกพระอุโบสถคล้ายกับโบสถ์ฝรั่งในศาสนาคริสต์ มีหลังคายอดแหลมและช่องหน้าต่างเจาะโค้งแบบโกธิค

วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร 
 
      วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา เป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุต สร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงใช้เป็นสถานที่สำหรับบำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อเสด็จฯ แปรพระราชฐานมาประทับที่พระราชวังบางปะอิน โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเลียนแบบโบสถ์ฝรั่ง เป็นศิลปะแบบโกธิค (Gothic)

วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร 
 
      ผนังอุโบสถเหนือหน้าต่างด้านหน้าพระประธานประดับกระจกสีเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 5 ฐานชุกชีที่ประดิษฐานพระประธาน“พระพุทธนฤมลธรรโมภาส” ทำเหมือนที่ตั้งไม้กางเขนในโบสถ์คริสต์ศาสนา ด้านขวามือของพระอุโบสถนั้นมีหอประดิษฐานพระคันธารราฐซึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนปางขอฝน ตรงข้ามกับหอพระคันธารราฐเป็นหอประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาเก่าแก่ปางนาคปรกอันเป็นพระพุทธรูปสมัยลพบุรีฝีมือช่างขอมอายุเก่านับพันปี พระนาคปรกนี้อยู่ติดกับต้นพระศรีมหาโพธิ์ใหญ่ที่แผ่กิ่งไปทั่วบริเวณหน้าพระอุโบสถ

วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร 
 
      ถัดไปไม่ไกลนักมีสวนหิน “ดิศกุลอนุสรณ์” ซึ่งรวบรวมหินชนิดต่างๆ เช่น หินปูน หินทราย หินกรวด หินชนวน และยังเป็นสถานที่บ รรจุอัฐิของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และอัฐิของเจ้าจอมมารดาชุ่ม พระสนมเอกในรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นพระมารดาของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และมีอัฐิของเจ้านายราชสกุลดิศกุลอีกหลายองค์

วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร 

      พระอุโบสถของวัดนั้นสร้างเลียนแบบโบสถ์ในคริสต์ศาสนา โดยภายในประดิษฐาน "พระพุทธนฤมลธรรโมภาส" เป็นพระประธาน ออกแบบโดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ โดยลักษณะที่ผสมผสานศิลปะแบบประเพณีนิยม และศิลปะแบบตะวันตกเข้าด้วยกัน ซึ่งมีพุทธลักษณะคล้ายสามัญชน นอกจากนี้ บริเวณฐานชุกชีก็มีลักษณะเหมือนที่ตั้งไม้กางเขนแบบโบสถ์

พระราชวังบางปะอิน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระราชวังบางปะอิน
Bang Pa In Royal Palace
Bang Pa-In Royal Palace - Bang Pa-In.jpg
ข้อมูลทั่วไป
ประเภทพระราชวัง
ที่ตั้งตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ประเทศประเทศไทย
การก่อสร้าง
ปีสร้างพ.ศ. 2175
ผู้สร้างสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
ผู้บูรณะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ข้อมูลด้านการท่องเที่ยว
สิ่งที่น่าสนใจพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ศาลากลางน้ำในพระราชวัง
พระราชวังบางปะอิน ตั้งอยู่ในตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่ห่างจากเกาะเมืองลงมาทางทิศใต้ประมาณ 18 กิโลเมตร[1]เป็นพระราชวังโบราณตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เนื่องจากเป็นที่ประสูติของพระองค์ ใช้เป็นสถานที่ที่ทรงใช้ประทับแรม ของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ด้วยเป็นพระราชวังใกล้พระนครนั่นเอง
หลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง พระราชวังบางปะอินถูกปล่อยให้รกร้างมาระยะหนึ่ง แต่กลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้งโดยสุนทรภู่ซึ่งได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรีได้ประพันธ์ถึงพระราชวังบางปะอินไว้ในนิราศพระบาท จนกระทั่ง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เริ่มการบูรณะพระราชวังขึ้น และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้บูรณะครั้งใหญ่ โดยสร้างพระที่นั่งพระตำหนัก และตำหนักต่าง ๆ ขึ้นมากมายเพื่อใช้เป็นที่ประทับรับรองพระราชอาคันตุกะ และพระราชทานเลี้ยงในโอกาสต่าง ๆ
ปัจจุบัน พระราชวังบางปะอินอยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวัง และยังใช้เป็นสถานที่แปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงประกอบพระราชพิธีสังเวยพระป้าย แต่ได้เปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าชมได้ โดยต้องแต่งกายให้สุภาพ
ภูทอก เป็นที่ตั้งของวัดเจติยาศรีวิหาร (วัดภูทอก) อยู่ในอาณาเขตบ้านคำแคน ตำบลนาสะแบง จ.บึงกาฬ โดยมีพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ เป็นผู้ก่อตั้ง ในภาษาอีสานแปลว่า ภูเขาที่โดดเดี่ยว ภูทอก มี 2 ลูก คือภูทอกใหญ่และภูทอกน้อยส่วนที่นักแสวงบุญและ นักท่องเที่ยวทั่วไป สามารถชมได้คือ ภูทอกน้อย ส่วนภูทอกใหญ่อยู่ห่างออกไป ยังไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวชม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการเดินเท้าขึ้นสู่ยอดภูทอก จุดเด่นของภูทอกก็คือ สะพานไม้และบันไดขึ้นชมทัศนียภาพรอบ ๆ ภูทอก ใช้เพียงแรงงานคนสร้าง บรรไดเวียนไปมา รอบภูทอกแบบ 360 ซึ่งมีทั้งหมด 7 ชั้น ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 5 ปีเต็มจากชั้น 1-7 จะมีบันไดไม้ให้เดินแบบ ตรงทอดยาวจนถึงจุดสูงสุดของ ยอดภูทอก และตั้งแต่ชั้นที่ 3 เป็นต้นไปนักท่องเที่ยวสามารถเดินชม แบบสะพานเวียน รอบเขาซึ่งจะได้เห็น มุมมองที่แตกต่างไปเรื่อย ๆ บันไดที่ทอดขึ้น สู่ยอดภูทอกนี้เปรียบเสมือนเส้นทางธรรมที่น้อมนำ สัตบุรุษ ให้พ้นโลกแห่งโลกียะ สู่โลกแห่ง โลกุตระหรือโลกแห่ง การหลุดพ้นด้วย ความเพียรพยายามและมุ่งมั่น ภูทอก ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยว ขึ้นในวันที่ 10 -16  เมษายน ของทุกปี  
ภูทอก  บึงกาฬ
ในแต่ละย่างก้าวบันไดขึ้นภูทอกแบ่งออกเป็น 7 ชั้น แตกต่างกันดังนี้
ชั้นที่ 1-2 เป็นบันไดสู่ ชั้นที่ 3 ซึ่งเริ่มเป็นสะพานเวียนรอบเขา สภาพเป็นป่าเขามืดครึ้ม มีโขดหินลานหิน สุดทางชั้นที่ 3 มีทางแยก สองทาง ทางซ้ายมือ เป็นทางลัดไปสู่ชั้นที่ 5 ได้เลย ซึ่งเป็นทางชันมาก ผ่านซอกหินที่มีลักษณะเหมือนอุโมงค์ ทางขวามือ เป็นทางขึ้นสู่ชั้นที่ 4

ชั้นที่ 4 เป็นสะพานลอยไต่เวียนรอบเขา มองไปเบื้องล่างจะเห็นเนินเขาเตี้ยๆ สลับกัน เรียกว่า "ดงชมพู" ทิศตะวันออกจดกับภูลังกา เขตอำเภอเซกา ซึ่งมีสภาพเป็นป่าดิบ มีแม่น้ำลำธารหลายสายไหลผ่าน มีสัตว์ป่ามากมายอาศัยอยู่ โดยเฉพาะมีฝูงกา มาอาศัย อยู่มาก จึงเรียกกันว่า "ภูรังกา" แล้วเพี้ยนมาเป็น "ภูลังกา" ในที่สุด ส่วนบนชั้นที่ 4 นี้ จะเป็นที่พักของแม่ชีรอบชั้นมีระยะทาง ประมาณ 400 เมตร มีที่พักผ่อนระหว่างทางเป็นระยะ ๆ

ชั้นที่ 5 หรือชั้นกลาง ถือว่าเป็นชั้นที่สำคัญที่สุด จะมีศาลาขนาดใหญ่ พระพุทธรูป กุฏิพระ และเป็นที่เก็บสังขารของพระอาจารย์ จวนด้วย พื้นที่สะอาดกว้างขวาง ดูแล้วร่มเย็นมาก เหมาะสำหรับการนั่งสวดมนต์ปฏิบัติธรรมสำหรับนักแสวงบุญ หรือผู้ที่ใฝ่หาความสงบ ตลอดตามช่องทางเดินจะมีถ้ำอยู่หลายจุด เช่น ถ้ำเหล็กไหล ถ้ำแก้ว ถ้ำฤาษี ฯลฯ มีที่ให้นั่งพักสำหรับความอ่อนล้า ระหว่างทางเดิน เป็นระยะ ถ้าเดินมาทางด้านเหนือจะเห็นสะพานหินธรรมชาติทอดสู่พุทธวิหารอันเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีลักษณะแปลกและ น่าอัศจรรย์ที่สุดคล้าย ๆ กับพระธาตุอินทร์แขวนที่พม่า คือ เป็นหินแยกตัวออกมาจากหินก้อนใหญ่ แต่ไม่ตกลงมา เพราะตั้งอยู่อย่าง ได้ฉากกับพื้นโลกพอดี ปัจจุบันมีสะพานไม้เชื่อมต่อระหว่างสะพานหินกับพุทธวิหาร มองออกไปจะ เห็นแนวของภูทอกใหญ่อย่าง ชัดเจน และมีบันไดเวียนขึ้นสู่ชั้นที่ 6 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายของบันไดเวียนรอบเขา 

ชั้นที่ 6 จะเป็นจุดชมวิวิที่สวยที่สุด ตลอดทางเดินจะเป็นหน้าผายื่นออกมาทำให้ในบางครั้งเวลาเดินต้องเบี่ยงตัวออกมาเล็กน้อย โดยแต่ละจุดก็จะมีชื่อของหน้าผาที่แตกต่างกัน เช่น ผาเทพนิมิตร ผาหัวช้าง ผาเทพสถิต เป็นต้น ในช่วงฤดูหนาวจะ มีทะเลหมอก ลอยอยู่รอบ ๆ ยอดเขา ทำให้เหมือนอยู่บนสวรรค์ จากชั้นที่ 6 สู่ชั้นที่ 7 เป็นสะพานไม้เวียนรอบเขายาว 400 เมตร เกาะติดอยู่ริม หน้าผา สูงชันดูน่าหวาดเสียวอันตราย มีความยาว 400 เมตร สำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และน่าชมที่สุดของชั้นนี้คือ ปากทางเข้าเมืองพญานาค ซึ่งอยู่หลังพระปางนาคปรก มีจุดให้สังเกตคือ มีรอยสีขาวขูดติดกับหินปูน ซึ่งชาวบ้านถือว่าเป็นรอยถลอกที่เกิดจากท้องพญานาคสัมผัส กับหิน และมีบ่อน้ำเล็ก ๆ มีน้ำขังอยู่เกือบตลอดปี 

ชั้นที่ 7 จะมีบันไดไม้พาดขึ้นมา เมื่อเดินขึ้นบันไดผ่านมาแล้วจะเจอทางแยก 2 ทางเพื่อขึ้นไปบนดาดฟ้าชั้น 7 ทางแรกเป็นทางชัน ต้องเกาะ เกี่ยวกิ่งไม้และรากไม้เดินลำบาก แถมยังมีป้ายบอกให้ "ระวังงู" ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีอยู่มากบนยอดภูแห่งนี้ด้วย ควรใช้อีกทาง หนึ่งซึ่งเป็น ทางอ้อมต้อง เดินเวียนไปทางขวามือ แต่ก็จะมาบรรจบกันด้านบนชั้น 7 หรือดาดฟ้า ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าไม่ทึบธรรมดา มีเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559



หลายคนคงจะเคยเห็นภาพของ “ทะเลเรืองแสง” ในเฟซบุ๊กหรือหนังบางเรื่อง ซึ่งเห็นแสงวาบๆ สีน้ำเงินหรือฟ้าอมเขียวของเกลียวคลื่นที่ซัดเข้าชายฝั่งและบนหาดทรายราวกับกลุ่มดาวบนท้องฟ้า ตามชายหาดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น, มัลดีฟฟ์, ออสเตรเลีย, แถบทะเลแคริบเบียน แม้กระทั่ง หาดบางแสน จ.ชลบุรี และ หาดเจ้าหลาว จ.จันทบุรี ของประเทศเราก็มี ตามมาด้วยคำถามที่เกิดขึ้นว่า ของจริงหรือภาพแต่ง?  ซึ่งถ้าเป็นภาพแต่งก็ไม่ได้ทำยากอะไรซะด้วย แต่เจ้าสิ่งนี้คือ ของจริงครับ แถมเป็นของจริงที่ไม่ใช่จะเกิดที่ไหนก็ได้และไม่ได้หาดูได้ง่ายๆ อีกด้วย! เราเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า Bioluminescence
ทะเลเรืองแสง-1000x500

ทะเล เรืองแสงขึ้นมาได้ยังไง?

ตามธรรมชาติ ในทะเลจะมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นล่องลอยอยู่มากมาย หลากหลายชนิด พวกนี้เรียกรวมๆ กันว่า แพลงก์ตอน (Plankton) ซึ่งจัดเป็นจุลชีพพวกโปรติสต์ โดยแพลงก์ตอนที่ทำให้เกิดการเรืองแสงนี้เป็นแพลงก์ตอนพืชในกลุ่ม ไดโนแฟลกเจลเลต (Dinoflagellates)  เช่น Noctiluca scintillans , Gonyaulax sp. และ Pyrocystis sp. เป็นต้น  แพลงก์ตอนพวกนี้พบได้ทั่วโลกเป็นปกติ แต่จะแพร่พันธุ์ได้มากเป็นพิเศษ (บางครั้งก็มากจนทำลายระบบนิเวศบริเวณนั้น) หรือ เกิดการ Bloom ขึ้นในทะเลที่มีแอมโมเนีย ไนโตรเจนและฟอสฟอรัส อยู่มาก ซึ่งนั่นเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของพวกมันนั่นเอง
Noctiluca scintillans
Noctiluca scintillans   (ภาพจาก : Imgur)
แพลงก์ตอนเหล่านี้สามารถเกิดปฏิกิริยาพิเศษเรียกว่า Bioluminescence ในออแกเนลล์ชื่อว่า ซินทิลลอนส์ (Scintillons) ซึ่งจะเกิดปฏิกิริยาระหว่าง Luciferin Protein กับ เอนไซม์ Luciferase โดยใช้ ATP ทำให้เกิดการเรืองแสงสีน้ำเงิน (คล้ายๆ กับปฏิกิริยาเรืองแสงในหิ่งห้อยเลยครับ แต่เป็นคนละปฏิกิริยาและใช้สารคนละตัวกันนะครับ)   เมื่อแพลงก์ตอนพวกนี้อยู่รวมกันมากๆ เราจึงเห็นทะเลเรืองแสงสีน้ำเงิน หรือ เขียวอมฟ้าออกมา
shrining bay
ชายหาดเรืองแสง หมู่เกาะมัลดีฟฟ์  (ภาพจาก : Geographical – UK )
โดยปกติแล้วแพลงก์ตอนพวกนี้ไม่อันตราย แถมยังเป็นอาหารของปลาหลายชนิดด้วย แต่ถ้าในทะเลแถบนั้นมี แอมโมเนีย หรือฟอสฟอรัสมาก ทำให้แพลงก์ตอนพวกนี้จะขยายพันธุ์จนมีมากเกินไป ส่งผลให้แพลงก์ตอนชนิดอื่นๆ โตไม่ได้ และปลาที่กินแพลงก์ตอนกลุ่มนี้มากเกินไปก็จะได้รับแอมโมเนียมากผิดปกติ ทำให้ปลาตายได้ แย่กว่านั้นคือถ้าชาวประมงจับปลาบริเวณนั้นด้วย คนที่กินปลาเข้าไปก็จะได้รับพิษของแอมโมเนียไปด้วย
bioluminescent plankton
ชายหาดแห่งหนึ่งที่เกิด Bioluminescense หรือ Blue Waves  (ภาพจาก : Imgur)

เราจะไปดู ทะเลเรืองแสง ที่ไหนได้บ้าง?

โดยปกติทะเลเรืองแสงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ทั้งที่เคยเกิดขึ้นที่เมืองซานดิเอโก้, เกาะฮ่องกง, หาดบางแสน และหาดเจ้าหลาวล้วนเกิดจากการมีแอมโมเนียสูงผิดปกติอันเป็นผลจากโรงงานอุตสาหกรรม จึงไม่เกิดทะเลเรืองแสงทุกวันและคาดการณ์การเกิดไม่ได้ ทะเลที่เรืองแสงบ่อยจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวต้องมีแหล่งอาหารของแพลงก์ตอนไดโนแฟกเจลเลตอยู่ตามธรรมชาติ อันได้แก่
  • อ่าวโยบุโกะ จังหวัดซะงะ ประเทศญี่ปุ่น

อ่าวโยบุโกะเป็นอ่าวในจังหวัดซะงะ ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะคิวชู ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น ในช่วงกลางคืนจะเห็นน้ำทะเลที่นี่เรืองแสงสีเขียวอมฟ้าออกมา ที่นี่ยังเป็นฉากในหนังเรื่อง Timeline จดหมาย-ความทรงจำ อีกด้วย เพียงแต่ของจริงอาจจะไม่ได้อลังการณ์เท่ากับในหนัง เพราะในหนังมีการใช้เทคนิค CG ช่วยในการถ่ายทำครับ
ซะงะ
อ่าวโยบุโกะ จังหวัดซะงะ, เกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น (ภาพจาก : Eduzones)
  • หมู่เกาะมัลดีฟฟ์

หมู่เกาะมัลดีฟฟ์ เป็นหมู่เกาะที่ตั้งอยู่กลางทะเลอันดามัน ขึ้นชื่อเรื่องน้ำทะเลสวยใสมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก นอกจากนี้ยังมีบางเกาะที่มักเกิด ทะเลเรืองแสง อยู่บ่อยๆ อีกด้วย
maldieves
เกาะหนึ่งใน หมู่เกาะมัลดีฟฟ์, ทะเลอันดามัน   (ภาพจาก : smartsme.tv)
  • Bioluminescent Bay, ทะเลแคริบเบียน ประเทศเปอร์โต ริโก้

Bioluminescent Bay เป็นอ่าวหนึ่งในประเทศเปอร์โต ริโก้ ซึ่งตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลแคริบเบียน ทางใต้ของสหรัฐอเมริกา ว่ากันว่าเป็นอ่าวที่มีการเรืองแสงสวยที่สุดในโลก เนื่องจากมีแพลงก์ตอนไดโนแฟลกเจลเลตอาศัยหนานแน่มากถึง 720,000 เซลล์ต่อน้ำ 1 แกลลอนเลยทีเดียว

ปรากฏการณ์แปลกทะเลสาบสีชมพู (Lake Hillier) ของประเทศออสเตรเลีย

Lake Hillier เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ตั้งอยู่ในเกาะขนาดใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะ Recherche Archipelago ประเทศออสเตรเลีย ห้อมล้อมไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยกว่า 105 เกาะ ลักษณะเด่นที่ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกก็คือ เป็นทะเลสาบที่มีน้ำเป็นสีชมพู ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าทึ่งมาก ถูกค้นพบครั้งแรกโดยกัปตัน Matthew Flinders ขณะเมื่อเขาขึ้นไปยังจุดสูงสุดของเกาะในปี 1802
Lake-Hillier3
เป็นทะเลสาบที่มีความยาวประมาณ 600 เมตร มีขอบแคบๆ ที่ปกคลุมไปด้วยแผ่นเกลือสีขาว และมีต้นไม้ล้อมรอบอย่างหนาแน่น แยกทะเลสาบออกจากทะเลด้านนอกถัดขึ้นไปโดยรอบเป็นป่าต้น Paperbark และต้น Eucalypt ปกคลุมหนาแน่น
สิ่งที่ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้โดดเด่นกว่าทะเลสาบอื่นบนเกาะก็คงเป็นสีน้ำในทะเลสาบแห่งนี้ที่มีสีชมพูหวานเหมือนนมเย็น น้ำในทะเลสาบมีสีถาวรแม้ตักขึ้นมาเก็บไว้ในภาชนะสีก็ไม่จางหาย
Lake-Hillier1
น้ำในทะเลสาบถูกนำไปวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็ยังไม่สามารถหาสาเหตุของปรากฏการณ์ประหลาดนี้ได้ว่าเกิดจากอะไรน้ำถึงเป็นสีชมพู มีสมมติฐานมากมาย แต่ที่ฟังดูมีเหตุผลมากที่สุดเนื่องจากในน้ำมีแบคทีเรียที่ชื่อว่า Dunaliella อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้จะผลิตสารสีแดงเพื่อใช้ในการดูดซับแสงอาทิตย์ ทำให้น้ำในทะเลสาบเปลี่ยนสีเป็นสีแดงอ่อนๆ เมื่อกระทบแสงแดดจึงสามารถมองเห็นเป็นสีชมพูค่ะ
Lake-Hillier2

กระเจี๊ยบแดง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กระเจี๊ยบแดง
กระเจี๊ยบแดง
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร:พืช (Plantae)
หมวด:Magnoliophyta
ชั้น:Magnoliopsida
อันดับ:Malvales
วงศ์:Malvaceae
สกุล:Hibiscus
สปีชีส์:H. sabdariffa
ชื่อทวินาม
Hibiscus sabdariffa
L.
กระเจี๊ยบแดง (อังกฤษRoselle) ภาคเหนือ เรียก ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง เงี้ยวแม่ฮ่องสอนเรียก ส้มปู จังหวัดตาก เรียก ส้มตะแลงเครง ภาคกลาง เรียก กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบเปรี้ยวเป็นพืชสมุนไพรที่เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 3–6 ศอก ลำต้นและกิ่งก้านมีสีม่วงแดง ใบมีหลายแบบด้วยกัน ขอบใบเรียบ บางทีก็มีรอยหยักเว้า 3 หยัก สีของดอกเป็นสีชมพู ตรงกลางดอกมีสีเข้มมากกว่าขอบนอกของกลีบ กลีบดอกร่วงโรยไป กลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงก็จะเจริญเติบโตขึ้นอีกเกิดเป็นสีม่วงแดงเข้มหุ้มเมล็ดเอาไว้ภายใน
การขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดปลูก ควรปลูกในหน้าฝน พรวนดินก่อนปลูก ขุดหลุมปลูกหลุมละ 2-3 เมล็ด ระยะห่างของหลุมประมาณ ½-1 เมตร พอต้นอ่อนงอกออกมาแล้ว ให้ถอนต้นที่อ่อนแอกว่าออกไปเอาต้นที่แข็งแรงไว้ รดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน กำจัดวัชพืชออกให้หมด

การใช้ประโยชน์

กระเจี๊ยบแดงสามารถนำไปทำเป็นเครื่องดื่มแก้กระหายได้ นอกจากนี้น้ำกระเจี๊ยบสามารถใช้ทดสอบสารอาหารที่มีโปรตีนได้ โดยอัตราส่วน 1:2 ซึ่งสีแดงของน้ำกระเจี๊ยบจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงหรือสีอื่น
ชาวแอฟริกาตะวันออกนำทั้งใบและผลไปต้มดื่มแก้อาการไอ ชาวอียิปต์ใช้กลีบเลี้ยงสีแดงต้มน้ำดื่มแก้ความดันโลหิตสูง ชาวมอญและพม่านิยมนำผลและใบกระเจี๊ยบไปปรุงอาหารได้หลายอย่าง ใบนำไปยำ หั่นใส่ข้าวยำหรือกินแนมกับอาหารรสจัด ต้ม แกงส้ม ผัดและจิ้มน้ำพริก