วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559

คาร์นิวัลเวนิส

งาน Venice Carnival หรือ Carnival a Venezia นั้นมีความเก่าแก่ย้อนกลับไปถึงยุคกลาง (ศตวรรษที่ 12) ได้รับการสืบสานจากลูกหลานชาวเวนิสมาจนถึงปัจจุบัน ระหว่างเทศกาล ชาวเมืองจะร่วมกันแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ประดับประดาอย่างสวยสดงดงาม พร้อมสวมหน้ากาก ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากรูปคน หรือรูปสัตว์ ออกมาประชันโฉมกันที่จตุรัสประจำเมือง ลานวิหารสำคัญของเมือง สะพานข้ามคลอง ท่าเทียบเรือ หรือแม้แต่บนเรือกอนโดลา (Gondola) สร้างสีสันให้แก่เมืองเกาะอย่างเวนิสยิ่งนัก
เทศกาลนี้จัดขึ้นนานเป็นสัปดาห์ โดยในแต่ละปี จะจัดขึ้นภายใต้ธีมต่างๆ ไม่ซ้ำกันทำให้นักท่องเที่ยวและชาวเมืองนับแสนต่างเฝ้าคอยที่จะชมความแปลกใหม่ที่จะเกิดขึ้นทุกปี
งานเทศกาลประจำปีคาร์นิวัลในเมืองเวนิสของอิตาลี ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วเมื่อวานนี้ โดยมีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมงานนี้หลายพันคน เพื่อชมพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ ยังเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวและประชาชนท้องถิ่น ให้มาเดินเที่ยวตามถนนต่างๆ ของเมืองเวนิส พร้อมกับสวมหน้ากากและแต่งกายด้วยชุดแฟนซีย้อนยุค

แม้อิตาลีจะเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ดูเหมือนว่า เทศกาลคาร์นิวัลในเมืองดังกล่าวจะยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากปีนี้ประชาชนได้ทำหน้ากากขึ้นเอง โดยนายฌอง ฟิลิปป์ นักท่องเที่ยวจากกรุงปารีสของฝรั่งเศส ที่เดินทางมาเที่ยวเทศกาลคาร์นิวัลในเมืองเวนิส บอกว่า เขาไม่ต้องใช้เงินมากมาย และหน้ากากที่เขานำมาสวมใส่ แม่เป็นคนทำให้ สำหรับเทศกาลคาร์นิวัลในเมืองเวนิส จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อกว่า 1,000 ปีก่อน และในสมัยนั้นเป็นพิธีทางศาสนาของกลุ่มคนนอกรีต แต่ต่อมาได้กลายเป็นงานเทศกาลเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น ซึ่งเทศกาลคาร์นิวัลในเมืองเวนิส จะมีขึ้นเป็นเวลา 10 วัน
JUN
12
งานเทศกาลดนตรีฝรั่งเศส — La Fête De La Musique
เทศกาลดนตรีฝรั่งเศสประจำปีหรืองานรื่นเริง de la musique ตามที่ทราบในประเทศฝรั่งเศสเป็นงานที่โดดเด่นที่นำทั่วประเทศมีชีวิตอยู่กับอาเรย์ที่กว้างใหญ่ของการแสดงดนตรีทั้งวันในแต่ละปี
แรงผลักดันเทศกาลดนตรี de ถูก Maurice Fleuret (นำไปข้างหน้าโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง Jack Lang) ซึ่งเป็นผู้อำนวยการเพลงกลับในปี 1981 ได้เข้ามาความคิดของ"everyway เพลงและคอนเสิร์ตที่ไหนเลย" ความเข้าใจที่ห้าล้านหนุ่มชาวฝรั่งเศสเล่นเครื่องดนตรีอย่างใดอย่างหนึ่งหรือร้องเพลงในหนึ่งคำอื่น ๆ ในสอง, Fleuret เสนอเป็นหลักเพื่อให้พวกเขาตระหนักถึงความฝันของพวกเขาและนำไปใช้ถนนปฏิบัติสิ่งที่พวกเขาต้องการที่จะดำเนินการ
เหตุการณ์แรกที่เปิดตัวในฤดูร้อนของอายัน 21 มิถุนายน 1982 ภายใต้สโลแกนของ"เพลงเล่นเพลงฉลอง" นักดนตรีมืออาชีพและมือสมัครเล่นเหมือนกันเอาขึ้นป้ายโฆษณาส่วนใหญ่เป็นธรรมชาติและแสดงดนตรีแจ๊ส, ร็อคและเพลงแบบเดิมควบคู่ไปกับคลาสสิกนักแสดงทั้งหมดในงานหนึ่งคนดี' พวกเขายังไม่ได้ดูหลังตั้งแต่
เหตุการณ์ตอนนี้เป็นความสุขล้านคนทั่วประเทศฝรั่งเศสและได้กลายเป็นแหล่งที่มาของสถานที่สำหรับผู้เข้าชม ในทางปฏิบัติเมืองทั่วทุกประเทศของศิลปินทุกประเภทใช้เวลาในการดำเนินการถนนและถุงเท้าของตนออกไปในขณะที่ทุกคนอื่น boogies ลงมา หินทั้งประเทศ! โดยเฉพาะในจุดดังกล่าว Nice, บอร์โดซ์และปารีสซึ่งลักษณะของเมืองให้ยืมตัวเองเก่งกับการแสดงดังกล่าว
การแสดงจะเสียค่าใช้จ่ายค่าสิทธิถูกระงับสำหรับวันที่และเหตุการณ์โดยรวมได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางโดยสื่อโทรทัศน์ยังฝรั่งเศสที่มีบางส่วนของศิลปินที่มีประสิทธิภาพสำคัญตลอดจนครอบคลุมเหตุการณ์ที่มีขนาดเล็ก ถ้าคุณต้องการทราบสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 ในเมืองสำคัญของฝรั่งเศสมีเว็บไซต์ภาษาฝรั่งเศสซึ่งจะแสดงรายการสิ่งที่แสดงบนสถานที่ : งานรื่นเริง – de – la –musique.cityvox.com และคุณยังสามารถที่มาข้อมูลผ่านทางสำนักงานการท่องเที่ยวในประเทศฝรั่งเศส เหล่านี้มันสำคัญที่จะไม่คาดหวังว่าจะมากที่สุดเท่าที่จะไม่ทำหน้าที่เป็นมืออาชีพที่สำคัญพวกเขามักจะเป็นผู้ที่อาจไม่ได้รับอิทธิพลปกติโอกาสที่จะทำลายและเป็นธุรกิจที่มีเพื่อ movers แน่นในการจับเพลงอุตสาหกรรม มีการกระทำที่ดำเนินการที่เป็นที่รู้จักกันดีในประเทศฝรั่งเศสเช่น Tokio Hotel และ Joachim Garraud ผู้เล่น 2007 เพียงไม่ได้คาดหวังหรือ Duffy Oasis เพื่อเปิดขึ้นเป็น
ไปพร้อมกับกรอบด้านขวาของใจและคุณจะไม่สามารถล้มเหลวเพื่อฟังเพลงจากวันที่เต็มไปยาวเหยียดเข้าไปในฤดูร้อนชื่นใจคืน สถานที่จัดงานกลางแจ้งเช่นพอร์ต de Nice, การสั่นกับคนเต้นในเย็นที่อบอุ่นทำให้ประสบการณ์ที่น่าจดจำอย่างมหาศาลถึงแม้คุณจะไม่เข้าใจคำของสิ่งที่ถูกร้อง
กรณีที่มีการส่งออกไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลกและในน้อยกว่าสิบห้าปีเพลงรูปแบบของงานรื่นเริงde la ได้ปรากฏในกว่าร้อยประเทศในห้าทวีปรวมทั้งเมืองเช่น Berlin, Budapest, Barlecona, Liverpool, ลักเซมเบิร์ก, Rome, เนเปิลส์และกรุงปราก
วิธีแปลกที่ยอดเยี่ยมเช่นฉลองเทศกาลดนตรีดังกล่าวมีอยู่เฉพาะในขนาดใหญ่ในสหราชอาณาจักรเป็นประเทศที่ดูด้วยความอิจฉาในช่องทางมหัศจรรย์ที่อุดมสมบูรณ์ของความสามารถทางดนตรีในข้อเสนอใน ที่เราต้องไหลไม่ยอมอ่อนข้อดูเหมือนของศิลปินที่เมินเฉยผลิตกระแสนิยมที่อาศัยแผนภูมิทั่วโลกเรามีเพียง จำกัดการมีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญที่อาจจะฉลองงานศิลปะที่ที่เราอย่างชัดเจน Excel

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2559

มิลาน(Milan) เมืองแห่งอดีตและอนาคตมิลาน

“ มิลาน (Milan) ” หรือที่คนอิตาเลียนเรียกว่า “ มิลาโน่ (Milano) ”เป็นเมืองหลวงทางแฟชันของโลกแข่งกับปารีสในประเทศฝรั่งเศส เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจของอิตาลี 
นอกจากนั้นยังมีภาพวาดเฟรสโก้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และโรงละครโอเปร่าอันลือชื่อ วันนี้เราจะพาไปเดินเล่นรอบเมืองมิลานกัน 
       จุดแรกสุดที่ต้องแวะชมก่อนคือมหาวิหารแห่งเมืองมิลาน หรือที่เรียกว่า “ ดูโอโม (Duomo) ” ชื่อนี้ไว้ใช้เรียกมหาวิหารประจำเมือง แทบจะมีดูโอโม่ทุกเมืองที่สำคัญ ๆ เลย น่าจะเป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของคนในเมือง ดูโอโม่ที่เมืองนี้สร้างในสถาปัตยกรรมแบบโกธิก เป็นมหาวิหารที่ใหญ่เป็นอับดับสองรองจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงวาติกัน
          มหาวิหารแห่งนี้เริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1386 แต่มาแล้วเสร็จ 400 กว่าปีหลังจากนั้น คือในปี ค.ศ.1813 ด้านนอกเป็นยอดแหลม 135 ยอด จึงมีชื่อเล่นว่า “ มหาวิหารเม่น ” มีรูปสลักหินอ่อนจากยุคต่าง ๆ ประดับอยู่กว่าสามพันรูป
ยอดที่สูงที่สุดประดับด้วยรูปสลักพระแม่มาเรียสูง 4 เมตร หุ้มด้วยทองคำทั้งองค์ มีชื่อเรียกว่า “ มาดอนนิน่า (Madonnina) ” 
ภายในมหาวิหารดูเรียบง่าย แต่โอ่อ่ากว้างขวาง ตามแบบโกธิก ด้านหน้ามหาวิหารจะเป็นลานกว้าง เรียกว่า “ ปิอาซซ่า เดล ดูโอโม (Piazza del Doumo) ” เป็นศูนย์กลาง เป็นแหล่งชุมนุมของผู้คนมาทุกยุคสมัย
ด้านข้างของจตุรัสหน้าดูโอโมทางทิศเหนือ จะเห็นทางเข้า “ กัลเลเรีย วิตโตรีโอ เอมานูเอล ” ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าที่หรูหราอลังการแห่งเมืองมิลาน  ภายในห้างเป็นโดมแก้ว มีห้างร้านต่าง ๆ มากมาย คล้ายกับอีกแห่งที่เมืองเนเปิลส

ทะลุออกมาอีกด้านจะเจอโรงอุปรากรชื่อก้องโลก “ ลา สกาล่า (Teatro alla Scala) ” แห่งเมืองมิลาน สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1776-1778 ฝันอยากได้ไปดูอุปรากรที่โรงนี้ซักหนในชีวิต จะมีโอกาสป่าวน้อ 

ข้างนอกดูงั้น ๆ แต่ข้างในสุดแสนจะเลิศหรูอลังการ ..
ใครรู้จักบุคคลในภาพบ้าง ถ้ารู้จักหมดแสดงว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ดนตรีคลาสสิกคนหนึ่งเลย 

ด้านหน้าลา สกาล่า เป็นลานอีกแล้ว เรียกว่า “ ปิอาซซ่า เดลลา สกาลา ” มีรูปปั้นของศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งของโลก คือ “ ลีโอนาร์โด ดาวินชี (Leonardo da Vinci) ”
          ในยุคนั้น เจ้าผู้ปกครองเมืองมิลานได้ว่าจ้างลีโอนาร์โดชาวเมืองฟลอเรนซ์ ให้มาผลิตผลงานที่เมืองมิลานแทน อยู่ฟลอเรนซ์ลำบาก ศิลปินดัง ๆ เยอะแยะอย่างเช่นมิเคลันเจโล หลบมาอยู่มิลานดีกว่า ไม่ค่อยมีคู่แข่ง ผลงานชิ้นสำคัญก้องโลกคือภาพวาดปูนเปียกที่ชื่อว่า “ The Last Supper ” อยู่ในเมืองมิลานนี่เอง ที่ “ โบสถ์ซานตา มาเรีย เดลเล กราเซีย (Santa Maria delle Grazie) ” ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ เป็นแห่งเดียวในมิลานที่ถูกกำหนดให้เป็นมรดโลก
จุดสำคัญแห่งหนึ่งในเมืองมิลานคือ “ ปราสาทสฟอร์เซสโก้ (Castello Sforzesco) ” เคยเป็นป้อมปราการของพวกตระกูลวิสคอนติ (Visconti) ต่อมาเป็นที่พำนักของผู้นำเผด็จการในช่วงศตวรรษที่ 15 คือตระกูลสฟอร์ซา (Sforza)
ปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์หลายแห่งที่สำคัญ 
       จริง ๆ แล้ว มิลานไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว แต่เป็นเมืองธุรกิจมากกว่า คนที่มาเมืองนี้ส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจหรือนักช้อปตัวยงมากกว่า “ ตึกพิเรลลี่ (Pirelli Tower) ” เป็นตึกที่สูงที่สุดในมิลานและเคยสูงที่สุดในอิตาลีด้วย

แฟนฟุตบอลอิตาลีอาจจะอยากชมสนามบอลซานซิโร ซึ่งเป็นสนามเหย้าของทั้งทีมเอซีมิลานและอินเตอร์มิลาน แต่ต้องนั่งรถออกไปจากตัวเมืองนะครับถ้าจะไปชมสนามหรือชมการแข่งขันที่สนามนี้
วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร (พระนครศรีอยุธยา)
      วันนี้จะพาไปเที่ยวไทยบรรยากาศแบบยุโรปกันที่ วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร  วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตรงข้า มกับพระราชวังบางปะอิน หลังจากเที่ยวชมพระราชวังบางปะอิน นักท่องเที่ยวสามารถนั่งกระเช้าข้ามแม่น้ำไปเยี่ยมชมวัดนี้ได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างวัดนี้เมื่อ พ.ศ.2419 เพื่อใช้เป็นที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ขณะเสด็จประทับที่พระราชวั งบางปะอิน วัดนี้มีลักษณะพิเศษคือ มีการตกแต่งเป็นแบบตะวันตกพระอุโบสถคล้ายกับโบสถ์ฝรั่งในศาสนาคริสต์ มีหลังคายอดแหลมและช่องหน้าต่างเจาะโค้งแบบโกธิค

วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร 
 
      วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา เป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุต สร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงใช้เป็นสถานที่สำหรับบำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อเสด็จฯ แปรพระราชฐานมาประทับที่พระราชวังบางปะอิน โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเลียนแบบโบสถ์ฝรั่ง เป็นศิลปะแบบโกธิค (Gothic)

วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร 
 
      ผนังอุโบสถเหนือหน้าต่างด้านหน้าพระประธานประดับกระจกสีเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 5 ฐานชุกชีที่ประดิษฐานพระประธาน“พระพุทธนฤมลธรรโมภาส” ทำเหมือนที่ตั้งไม้กางเขนในโบสถ์คริสต์ศาสนา ด้านขวามือของพระอุโบสถนั้นมีหอประดิษฐานพระคันธารราฐซึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนปางขอฝน ตรงข้ามกับหอพระคันธารราฐเป็นหอประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาเก่าแก่ปางนาคปรกอันเป็นพระพุทธรูปสมัยลพบุรีฝีมือช่างขอมอายุเก่านับพันปี พระนาคปรกนี้อยู่ติดกับต้นพระศรีมหาโพธิ์ใหญ่ที่แผ่กิ่งไปทั่วบริเวณหน้าพระอุโบสถ

วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร 
 
      ถัดไปไม่ไกลนักมีสวนหิน “ดิศกุลอนุสรณ์” ซึ่งรวบรวมหินชนิดต่างๆ เช่น หินปูน หินทราย หินกรวด หินชนวน และยังเป็นสถานที่บ รรจุอัฐิของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และอัฐิของเจ้าจอมมารดาชุ่ม พระสนมเอกในรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นพระมารดาของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และมีอัฐิของเจ้านายราชสกุลดิศกุลอีกหลายองค์

วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร 

      พระอุโบสถของวัดนั้นสร้างเลียนแบบโบสถ์ในคริสต์ศาสนา โดยภายในประดิษฐาน "พระพุทธนฤมลธรรโมภาส" เป็นพระประธาน ออกแบบโดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ โดยลักษณะที่ผสมผสานศิลปะแบบประเพณีนิยม และศิลปะแบบตะวันตกเข้าด้วยกัน ซึ่งมีพุทธลักษณะคล้ายสามัญชน นอกจากนี้ บริเวณฐานชุกชีก็มีลักษณะเหมือนที่ตั้งไม้กางเขนแบบโบสถ์

พระราชวังบางปะอิน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระราชวังบางปะอิน
Bang Pa In Royal Palace
Bang Pa-In Royal Palace - Bang Pa-In.jpg
ข้อมูลทั่วไป
ประเภทพระราชวัง
ที่ตั้งตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ประเทศประเทศไทย
การก่อสร้าง
ปีสร้างพ.ศ. 2175
ผู้สร้างสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
ผู้บูรณะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ข้อมูลด้านการท่องเที่ยว
สิ่งที่น่าสนใจพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ศาลากลางน้ำในพระราชวัง
พระราชวังบางปะอิน ตั้งอยู่ในตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่ห่างจากเกาะเมืองลงมาทางทิศใต้ประมาณ 18 กิโลเมตร[1]เป็นพระราชวังโบราณตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เนื่องจากเป็นที่ประสูติของพระองค์ ใช้เป็นสถานที่ที่ทรงใช้ประทับแรม ของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ด้วยเป็นพระราชวังใกล้พระนครนั่นเอง
หลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง พระราชวังบางปะอินถูกปล่อยให้รกร้างมาระยะหนึ่ง แต่กลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้งโดยสุนทรภู่ซึ่งได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรีได้ประพันธ์ถึงพระราชวังบางปะอินไว้ในนิราศพระบาท จนกระทั่ง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เริ่มการบูรณะพระราชวังขึ้น และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้บูรณะครั้งใหญ่ โดยสร้างพระที่นั่งพระตำหนัก และตำหนักต่าง ๆ ขึ้นมากมายเพื่อใช้เป็นที่ประทับรับรองพระราชอาคันตุกะ และพระราชทานเลี้ยงในโอกาสต่าง ๆ
ปัจจุบัน พระราชวังบางปะอินอยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวัง และยังใช้เป็นสถานที่แปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงประกอบพระราชพิธีสังเวยพระป้าย แต่ได้เปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าชมได้ โดยต้องแต่งกายให้สุภาพ
ภูทอก เป็นที่ตั้งของวัดเจติยาศรีวิหาร (วัดภูทอก) อยู่ในอาณาเขตบ้านคำแคน ตำบลนาสะแบง จ.บึงกาฬ โดยมีพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ เป็นผู้ก่อตั้ง ในภาษาอีสานแปลว่า ภูเขาที่โดดเดี่ยว ภูทอก มี 2 ลูก คือภูทอกใหญ่และภูทอกน้อยส่วนที่นักแสวงบุญและ นักท่องเที่ยวทั่วไป สามารถชมได้คือ ภูทอกน้อย ส่วนภูทอกใหญ่อยู่ห่างออกไป ยังไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวชม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการเดินเท้าขึ้นสู่ยอดภูทอก จุดเด่นของภูทอกก็คือ สะพานไม้และบันไดขึ้นชมทัศนียภาพรอบ ๆ ภูทอก ใช้เพียงแรงงานคนสร้าง บรรไดเวียนไปมา รอบภูทอกแบบ 360 ซึ่งมีทั้งหมด 7 ชั้น ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 5 ปีเต็มจากชั้น 1-7 จะมีบันไดไม้ให้เดินแบบ ตรงทอดยาวจนถึงจุดสูงสุดของ ยอดภูทอก และตั้งแต่ชั้นที่ 3 เป็นต้นไปนักท่องเที่ยวสามารถเดินชม แบบสะพานเวียน รอบเขาซึ่งจะได้เห็น มุมมองที่แตกต่างไปเรื่อย ๆ บันไดที่ทอดขึ้น สู่ยอดภูทอกนี้เปรียบเสมือนเส้นทางธรรมที่น้อมนำ สัตบุรุษ ให้พ้นโลกแห่งโลกียะ สู่โลกแห่ง โลกุตระหรือโลกแห่ง การหลุดพ้นด้วย ความเพียรพยายามและมุ่งมั่น ภูทอก ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยว ขึ้นในวันที่ 10 -16  เมษายน ของทุกปี  
ภูทอก  บึงกาฬ
ในแต่ละย่างก้าวบันไดขึ้นภูทอกแบ่งออกเป็น 7 ชั้น แตกต่างกันดังนี้
ชั้นที่ 1-2 เป็นบันไดสู่ ชั้นที่ 3 ซึ่งเริ่มเป็นสะพานเวียนรอบเขา สภาพเป็นป่าเขามืดครึ้ม มีโขดหินลานหิน สุดทางชั้นที่ 3 มีทางแยก สองทาง ทางซ้ายมือ เป็นทางลัดไปสู่ชั้นที่ 5 ได้เลย ซึ่งเป็นทางชันมาก ผ่านซอกหินที่มีลักษณะเหมือนอุโมงค์ ทางขวามือ เป็นทางขึ้นสู่ชั้นที่ 4

ชั้นที่ 4 เป็นสะพานลอยไต่เวียนรอบเขา มองไปเบื้องล่างจะเห็นเนินเขาเตี้ยๆ สลับกัน เรียกว่า "ดงชมพู" ทิศตะวันออกจดกับภูลังกา เขตอำเภอเซกา ซึ่งมีสภาพเป็นป่าดิบ มีแม่น้ำลำธารหลายสายไหลผ่าน มีสัตว์ป่ามากมายอาศัยอยู่ โดยเฉพาะมีฝูงกา มาอาศัย อยู่มาก จึงเรียกกันว่า "ภูรังกา" แล้วเพี้ยนมาเป็น "ภูลังกา" ในที่สุด ส่วนบนชั้นที่ 4 นี้ จะเป็นที่พักของแม่ชีรอบชั้นมีระยะทาง ประมาณ 400 เมตร มีที่พักผ่อนระหว่างทางเป็นระยะ ๆ

ชั้นที่ 5 หรือชั้นกลาง ถือว่าเป็นชั้นที่สำคัญที่สุด จะมีศาลาขนาดใหญ่ พระพุทธรูป กุฏิพระ และเป็นที่เก็บสังขารของพระอาจารย์ จวนด้วย พื้นที่สะอาดกว้างขวาง ดูแล้วร่มเย็นมาก เหมาะสำหรับการนั่งสวดมนต์ปฏิบัติธรรมสำหรับนักแสวงบุญ หรือผู้ที่ใฝ่หาความสงบ ตลอดตามช่องทางเดินจะมีถ้ำอยู่หลายจุด เช่น ถ้ำเหล็กไหล ถ้ำแก้ว ถ้ำฤาษี ฯลฯ มีที่ให้นั่งพักสำหรับความอ่อนล้า ระหว่างทางเดิน เป็นระยะ ถ้าเดินมาทางด้านเหนือจะเห็นสะพานหินธรรมชาติทอดสู่พุทธวิหารอันเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีลักษณะแปลกและ น่าอัศจรรย์ที่สุดคล้าย ๆ กับพระธาตุอินทร์แขวนที่พม่า คือ เป็นหินแยกตัวออกมาจากหินก้อนใหญ่ แต่ไม่ตกลงมา เพราะตั้งอยู่อย่าง ได้ฉากกับพื้นโลกพอดี ปัจจุบันมีสะพานไม้เชื่อมต่อระหว่างสะพานหินกับพุทธวิหาร มองออกไปจะ เห็นแนวของภูทอกใหญ่อย่าง ชัดเจน และมีบันไดเวียนขึ้นสู่ชั้นที่ 6 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายของบันไดเวียนรอบเขา 

ชั้นที่ 6 จะเป็นจุดชมวิวิที่สวยที่สุด ตลอดทางเดินจะเป็นหน้าผายื่นออกมาทำให้ในบางครั้งเวลาเดินต้องเบี่ยงตัวออกมาเล็กน้อย โดยแต่ละจุดก็จะมีชื่อของหน้าผาที่แตกต่างกัน เช่น ผาเทพนิมิตร ผาหัวช้าง ผาเทพสถิต เป็นต้น ในช่วงฤดูหนาวจะ มีทะเลหมอก ลอยอยู่รอบ ๆ ยอดเขา ทำให้เหมือนอยู่บนสวรรค์ จากชั้นที่ 6 สู่ชั้นที่ 7 เป็นสะพานไม้เวียนรอบเขายาว 400 เมตร เกาะติดอยู่ริม หน้าผา สูงชันดูน่าหวาดเสียวอันตราย มีความยาว 400 เมตร สำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และน่าชมที่สุดของชั้นนี้คือ ปากทางเข้าเมืองพญานาค ซึ่งอยู่หลังพระปางนาคปรก มีจุดให้สังเกตคือ มีรอยสีขาวขูดติดกับหินปูน ซึ่งชาวบ้านถือว่าเป็นรอยถลอกที่เกิดจากท้องพญานาคสัมผัส กับหิน และมีบ่อน้ำเล็ก ๆ มีน้ำขังอยู่เกือบตลอดปี 

ชั้นที่ 7 จะมีบันไดไม้พาดขึ้นมา เมื่อเดินขึ้นบันไดผ่านมาแล้วจะเจอทางแยก 2 ทางเพื่อขึ้นไปบนดาดฟ้าชั้น 7 ทางแรกเป็นทางชัน ต้องเกาะ เกี่ยวกิ่งไม้และรากไม้เดินลำบาก แถมยังมีป้ายบอกให้ "ระวังงู" ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีอยู่มากบนยอดภูแห่งนี้ด้วย ควรใช้อีกทาง หนึ่งซึ่งเป็น ทางอ้อมต้อง เดินเวียนไปทางขวามือ แต่ก็จะมาบรรจบกันด้านบนชั้น 7 หรือดาดฟ้า ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าไม่ทึบธรรมดา มีเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559



หลายคนคงจะเคยเห็นภาพของ “ทะเลเรืองแสง” ในเฟซบุ๊กหรือหนังบางเรื่อง ซึ่งเห็นแสงวาบๆ สีน้ำเงินหรือฟ้าอมเขียวของเกลียวคลื่นที่ซัดเข้าชายฝั่งและบนหาดทรายราวกับกลุ่มดาวบนท้องฟ้า ตามชายหาดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น, มัลดีฟฟ์, ออสเตรเลีย, แถบทะเลแคริบเบียน แม้กระทั่ง หาดบางแสน จ.ชลบุรี และ หาดเจ้าหลาว จ.จันทบุรี ของประเทศเราก็มี ตามมาด้วยคำถามที่เกิดขึ้นว่า ของจริงหรือภาพแต่ง?  ซึ่งถ้าเป็นภาพแต่งก็ไม่ได้ทำยากอะไรซะด้วย แต่เจ้าสิ่งนี้คือ ของจริงครับ แถมเป็นของจริงที่ไม่ใช่จะเกิดที่ไหนก็ได้และไม่ได้หาดูได้ง่ายๆ อีกด้วย! เราเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า Bioluminescence
ทะเลเรืองแสง-1000x500

ทะเล เรืองแสงขึ้นมาได้ยังไง?

ตามธรรมชาติ ในทะเลจะมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นล่องลอยอยู่มากมาย หลากหลายชนิด พวกนี้เรียกรวมๆ กันว่า แพลงก์ตอน (Plankton) ซึ่งจัดเป็นจุลชีพพวกโปรติสต์ โดยแพลงก์ตอนที่ทำให้เกิดการเรืองแสงนี้เป็นแพลงก์ตอนพืชในกลุ่ม ไดโนแฟลกเจลเลต (Dinoflagellates)  เช่น Noctiluca scintillans , Gonyaulax sp. และ Pyrocystis sp. เป็นต้น  แพลงก์ตอนพวกนี้พบได้ทั่วโลกเป็นปกติ แต่จะแพร่พันธุ์ได้มากเป็นพิเศษ (บางครั้งก็มากจนทำลายระบบนิเวศบริเวณนั้น) หรือ เกิดการ Bloom ขึ้นในทะเลที่มีแอมโมเนีย ไนโตรเจนและฟอสฟอรัส อยู่มาก ซึ่งนั่นเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของพวกมันนั่นเอง
Noctiluca scintillans
Noctiluca scintillans   (ภาพจาก : Imgur)
แพลงก์ตอนเหล่านี้สามารถเกิดปฏิกิริยาพิเศษเรียกว่า Bioluminescence ในออแกเนลล์ชื่อว่า ซินทิลลอนส์ (Scintillons) ซึ่งจะเกิดปฏิกิริยาระหว่าง Luciferin Protein กับ เอนไซม์ Luciferase โดยใช้ ATP ทำให้เกิดการเรืองแสงสีน้ำเงิน (คล้ายๆ กับปฏิกิริยาเรืองแสงในหิ่งห้อยเลยครับ แต่เป็นคนละปฏิกิริยาและใช้สารคนละตัวกันนะครับ)   เมื่อแพลงก์ตอนพวกนี้อยู่รวมกันมากๆ เราจึงเห็นทะเลเรืองแสงสีน้ำเงิน หรือ เขียวอมฟ้าออกมา
shrining bay
ชายหาดเรืองแสง หมู่เกาะมัลดีฟฟ์  (ภาพจาก : Geographical – UK )
โดยปกติแล้วแพลงก์ตอนพวกนี้ไม่อันตราย แถมยังเป็นอาหารของปลาหลายชนิดด้วย แต่ถ้าในทะเลแถบนั้นมี แอมโมเนีย หรือฟอสฟอรัสมาก ทำให้แพลงก์ตอนพวกนี้จะขยายพันธุ์จนมีมากเกินไป ส่งผลให้แพลงก์ตอนชนิดอื่นๆ โตไม่ได้ และปลาที่กินแพลงก์ตอนกลุ่มนี้มากเกินไปก็จะได้รับแอมโมเนียมากผิดปกติ ทำให้ปลาตายได้ แย่กว่านั้นคือถ้าชาวประมงจับปลาบริเวณนั้นด้วย คนที่กินปลาเข้าไปก็จะได้รับพิษของแอมโมเนียไปด้วย
bioluminescent plankton
ชายหาดแห่งหนึ่งที่เกิด Bioluminescense หรือ Blue Waves  (ภาพจาก : Imgur)

เราจะไปดู ทะเลเรืองแสง ที่ไหนได้บ้าง?

โดยปกติทะเลเรืองแสงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ทั้งที่เคยเกิดขึ้นที่เมืองซานดิเอโก้, เกาะฮ่องกง, หาดบางแสน และหาดเจ้าหลาวล้วนเกิดจากการมีแอมโมเนียสูงผิดปกติอันเป็นผลจากโรงงานอุตสาหกรรม จึงไม่เกิดทะเลเรืองแสงทุกวันและคาดการณ์การเกิดไม่ได้ ทะเลที่เรืองแสงบ่อยจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวต้องมีแหล่งอาหารของแพลงก์ตอนไดโนแฟกเจลเลตอยู่ตามธรรมชาติ อันได้แก่
  • อ่าวโยบุโกะ จังหวัดซะงะ ประเทศญี่ปุ่น

อ่าวโยบุโกะเป็นอ่าวในจังหวัดซะงะ ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะคิวชู ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น ในช่วงกลางคืนจะเห็นน้ำทะเลที่นี่เรืองแสงสีเขียวอมฟ้าออกมา ที่นี่ยังเป็นฉากในหนังเรื่อง Timeline จดหมาย-ความทรงจำ อีกด้วย เพียงแต่ของจริงอาจจะไม่ได้อลังการณ์เท่ากับในหนัง เพราะในหนังมีการใช้เทคนิค CG ช่วยในการถ่ายทำครับ
ซะงะ
อ่าวโยบุโกะ จังหวัดซะงะ, เกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น (ภาพจาก : Eduzones)
  • หมู่เกาะมัลดีฟฟ์

หมู่เกาะมัลดีฟฟ์ เป็นหมู่เกาะที่ตั้งอยู่กลางทะเลอันดามัน ขึ้นชื่อเรื่องน้ำทะเลสวยใสมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก นอกจากนี้ยังมีบางเกาะที่มักเกิด ทะเลเรืองแสง อยู่บ่อยๆ อีกด้วย
maldieves
เกาะหนึ่งใน หมู่เกาะมัลดีฟฟ์, ทะเลอันดามัน   (ภาพจาก : smartsme.tv)
  • Bioluminescent Bay, ทะเลแคริบเบียน ประเทศเปอร์โต ริโก้

Bioluminescent Bay เป็นอ่าวหนึ่งในประเทศเปอร์โต ริโก้ ซึ่งตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลแคริบเบียน ทางใต้ของสหรัฐอเมริกา ว่ากันว่าเป็นอ่าวที่มีการเรืองแสงสวยที่สุดในโลก เนื่องจากมีแพลงก์ตอนไดโนแฟลกเจลเลตอาศัยหนานแน่มากถึง 720,000 เซลล์ต่อน้ำ 1 แกลลอนเลยทีเดียว

ปรากฏการณ์แปลกทะเลสาบสีชมพู (Lake Hillier) ของประเทศออสเตรเลีย

Lake Hillier เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ตั้งอยู่ในเกาะขนาดใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะ Recherche Archipelago ประเทศออสเตรเลีย ห้อมล้อมไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยกว่า 105 เกาะ ลักษณะเด่นที่ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกก็คือ เป็นทะเลสาบที่มีน้ำเป็นสีชมพู ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าทึ่งมาก ถูกค้นพบครั้งแรกโดยกัปตัน Matthew Flinders ขณะเมื่อเขาขึ้นไปยังจุดสูงสุดของเกาะในปี 1802
Lake-Hillier3
เป็นทะเลสาบที่มีความยาวประมาณ 600 เมตร มีขอบแคบๆ ที่ปกคลุมไปด้วยแผ่นเกลือสีขาว และมีต้นไม้ล้อมรอบอย่างหนาแน่น แยกทะเลสาบออกจากทะเลด้านนอกถัดขึ้นไปโดยรอบเป็นป่าต้น Paperbark และต้น Eucalypt ปกคลุมหนาแน่น
สิ่งที่ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้โดดเด่นกว่าทะเลสาบอื่นบนเกาะก็คงเป็นสีน้ำในทะเลสาบแห่งนี้ที่มีสีชมพูหวานเหมือนนมเย็น น้ำในทะเลสาบมีสีถาวรแม้ตักขึ้นมาเก็บไว้ในภาชนะสีก็ไม่จางหาย
Lake-Hillier1
น้ำในทะเลสาบถูกนำไปวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็ยังไม่สามารถหาสาเหตุของปรากฏการณ์ประหลาดนี้ได้ว่าเกิดจากอะไรน้ำถึงเป็นสีชมพู มีสมมติฐานมากมาย แต่ที่ฟังดูมีเหตุผลมากที่สุดเนื่องจากในน้ำมีแบคทีเรียที่ชื่อว่า Dunaliella อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้จะผลิตสารสีแดงเพื่อใช้ในการดูดซับแสงอาทิตย์ ทำให้น้ำในทะเลสาบเปลี่ยนสีเป็นสีแดงอ่อนๆ เมื่อกระทบแสงแดดจึงสามารถมองเห็นเป็นสีชมพูค่ะ
Lake-Hillier2

กระเจี๊ยบแดง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กระเจี๊ยบแดง
กระเจี๊ยบแดง
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร:พืช (Plantae)
หมวด:Magnoliophyta
ชั้น:Magnoliopsida
อันดับ:Malvales
วงศ์:Malvaceae
สกุล:Hibiscus
สปีชีส์:H. sabdariffa
ชื่อทวินาม
Hibiscus sabdariffa
L.
กระเจี๊ยบแดง (อังกฤษRoselle) ภาคเหนือ เรียก ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง เงี้ยวแม่ฮ่องสอนเรียก ส้มปู จังหวัดตาก เรียก ส้มตะแลงเครง ภาคกลาง เรียก กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบเปรี้ยวเป็นพืชสมุนไพรที่เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 3–6 ศอก ลำต้นและกิ่งก้านมีสีม่วงแดง ใบมีหลายแบบด้วยกัน ขอบใบเรียบ บางทีก็มีรอยหยักเว้า 3 หยัก สีของดอกเป็นสีชมพู ตรงกลางดอกมีสีเข้มมากกว่าขอบนอกของกลีบ กลีบดอกร่วงโรยไป กลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงก็จะเจริญเติบโตขึ้นอีกเกิดเป็นสีม่วงแดงเข้มหุ้มเมล็ดเอาไว้ภายใน
การขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดปลูก ควรปลูกในหน้าฝน พรวนดินก่อนปลูก ขุดหลุมปลูกหลุมละ 2-3 เมล็ด ระยะห่างของหลุมประมาณ ½-1 เมตร พอต้นอ่อนงอกออกมาแล้ว ให้ถอนต้นที่อ่อนแอกว่าออกไปเอาต้นที่แข็งแรงไว้ รดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน กำจัดวัชพืชออกให้หมด

การใช้ประโยชน์

กระเจี๊ยบแดงสามารถนำไปทำเป็นเครื่องดื่มแก้กระหายได้ นอกจากนี้น้ำกระเจี๊ยบสามารถใช้ทดสอบสารอาหารที่มีโปรตีนได้ โดยอัตราส่วน 1:2 ซึ่งสีแดงของน้ำกระเจี๊ยบจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงหรือสีอื่น
ชาวแอฟริกาตะวันออกนำทั้งใบและผลไปต้มดื่มแก้อาการไอ ชาวอียิปต์ใช้กลีบเลี้ยงสีแดงต้มน้ำดื่มแก้ความดันโลหิตสูง ชาวมอญและพม่านิยมนำผลและใบกระเจี๊ยบไปปรุงอาหารได้หลายอย่าง ใบนำไปยำ หั่นใส่ข้าวยำหรือกินแนมกับอาหารรสจัด ต้ม แกงส้ม ผัดและจิ้มน้ำพริก

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สายการบินไทย

สายการบินสัญชาติไทย
สายการบินชั้นนำ
สายการบินต้นทุนต่ำ (หรือสายการบินราคาถูก)
สายการบินทั่วโลก
ข้อมูลด้านล่างเป็นรายชื่อสายการบินทั้งหมดในเว็บ Skyscanner ซึ่งให้บริการเที่ยวบินทั้งภายในและระหว่างเทศ เพื่อช่วยให้คุณค้นหาเที่ยวบินกับสายการบินที่ถูกใจ ไม่ว่าจะเป็นสายการบินต้นทุนต่ำและสายการบินชั้นนำต่างๆ

คลิ๊กลิงค์ที่ชื่อสายการบินด้านล่างเพื่อดูข้อมูลเกี่ยวกับสายการบิน รวมทั้งตั๋วเครื่องบินของเที่ยวบินเส้นทางที่สายการบินนั้นให้บริการ

หอคอยบาเบล

เกิดจากความสามัคคีของมนุษย์ ภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมโลก จากลูกหลานของโนอาห์ ได้ขยายพงศ์พันธุ์แผ่ไพศาลออกไป แต่ทั่วทั้งโลกต่างพูดภาษาเดียวกัน และมีศัพท์สำเนียงเดียวกัน ผู้คนในยุคนั้นจึงได้ร่วมกันสร้างหอบาเบล โดยมีความมุ่งหมายเพื่อที่จะสร้างเป็นหอเทียมฟ้า สร้างชื่อเสียงไว้ และเป็นแหล่งรวมอารยธรรมของมนุษย์ไว้ด้วยกัน
การสร้างหอบาเบล เป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับมนุษยชาติ ซึ่งความภาคภูมิใจนี้ ก็นำมาซึ่งความหยิ่งผยอง คิดท้าทายพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงบันดาลให้เกิดภาษาที่แตกต่างกัน ทำให้มนุษย์สื่อสารกันไม่เข้าใจ การก่อสร้างหอบาเบลจึงหยุดชะงักลงเพียงนั้น
Pieter Bruegel the Elder - The Tower of Babel (Vienna) - Google Art Project - edited.jpg

โมนาลิซา

โมนาลิซา (อังกฤษMona Lisa) หรือ ลาโจกอนดา (อิตาลีLa Gioconda) หรือ ลาโชกงด์ (ฝรั่งเศสLa Joconde) คือภาพวาดสีน้ำมัน สูง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร วาดโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระหว่าง พ.ศ. 2046 (ค.ศ. 1503) ถึงปี พ.ศ. 2050 (ค.ศ. 1507) เป็นภาพที่มีชื่อเสียงทั่วโลกภาพหนึ่ง เป็นที่รู้จักในฐานะภาพของสุภาพสตรีที่มีรอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่ ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
Mona Lisa, by Leonardo da Vinci, from C2RMF retouched.jpg

ศิลป์ พีระศรี

ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี (15 กันยายน พ.ศ. 2435 — 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2505) เดิมชื่อ คอร์ราโด เฟโรชี (Corrado Feroci) ชาวอิตาลีสัญชาติไทย เป็นประติมากรจากเมืองฟลอเรนซ์ที่เข้ามารักราชการในประเทศไทยตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยถือเป็นปูชนียบุคคลคนหนึ่งของไทยที่ได้สร้างคุณูปการในทางศิลปะและมีผลงานที่เป็นที่กล่าวขานจนเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้งและอาจารย์สอนวิชาศิลปะที่โรงเรียนประณีตศิลปกรรม ซึ่งภายหลังได้รับการยกฐานะให้เป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยศาสตราจารย์ศิลป์ได้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัย มีความรักใคร่ ห่วงใยและปรารถนาดีต่อลูกศิษย์อยู่ตลอดจนเป็นที่รักและนับถือทั้งในหมู่ศิษย์และอาจารย์ด้วยกัน
ศาสตราจารย์ศิลป์ยังเป็นผู้วางรากฐานที่เข้มแข็งให้แก่วงการศิลปะไทยสมัยใหม่จากการที่ได้พร่ำสอนและผลักดันลูกศิษย์ให้ได้มีความรู้ความสามารถในวิชาศิลปะทั้งงานจิตกรรมและงานช่าง มีจุดประสงค์ให้คนไทยมีความรู้ความเข้าใจในศิลปะและสามารถสร้างสรรค์งานศิลปะได้ด้วยความสามารถของบุคลากรของตนเอง โดยได้ก่อตั้ง การก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากรจึงเปรียบเสมือนการหว่านเมล็ดพันธ์ให้แก่คนไทยเพื่อที่จะออกไปสร้างศิลปะเพื่อแผ่นดินของตน และถึงแม้จะริเริ่มรากฐานของความรู้ด้านศิลปะตะวันตกในประเทศไทย แต่ในขณะเดียวกันศาสตรจารย์ศิลป์ก็ได้ศึกษาศิลปะไทยอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากต้องการให้คนไทยรักษาความงามของศิลปะไทยเอาไว้ จึงได้เกิดการสร้างลูกศิษย์ที่มีความรู้ทั้งงานศิลปะตะวันตกและศิลปะไทยออกไปเป็นกำลังสำคัญให้แก่วงการศิลปะไทยเป็นจำนวนมาก และเกิดรูปแบบงานศิลปะไทยสมัยใหม่ในที่สุด
ด้วยคุณูปการนี้ศาตราจารย์ศิลป์จึงได้รับการยกย่องให้เป็นปูชนียบุคคลของมหาวิทยาลัยศิลปากรและของประเทศไทย โดยเฉพาะในงานประติมากรรมที่ได้มีผลงานที่โดดเด่นมากมายที่สร้างไว้แก่ประเทศไทย ได้แก่ พระพุทธรูปประธานที่พุทธมณฑลอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และรวมไปถึงพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่วงเวียนใหญ่พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี และพระบรมราชานุสาวรีย์ของกษัตริย์ไทยอีกหลายพระองค์ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ศาสตรจารย์ศิลป์จงได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ของไทยและเป็นบิดาแห่งมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยในวันที่ 15 กันยายน ของทุกปีจะถือเป็นวันศิลป์ พีระศรี ซึ่งมหาวิทยาลัยจะจัดงานรำลึกขึ้นทุกปีเพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของศาสตรจารย์ศิลป์ที่มีต่อมหาวิทยาลัยและประเทศไทยหลายประการ
ศิลป์ พีระศรี.jpg